แนะวิธีป้องกันฝุ่น สร้างเกราะป้องกัน PM 2.5 ให้ลูกน้อย

การสวมใส่หน้ากากอนามัยเป็นวิธีป้องกันฝุ่น PM2.5 ให้ลูก

ฝุ่น PM 2.5 กลายเป็นต้นตอของปัญหาสุขภาพที่ไม่ควรมองข้าม ยิ่งถ้าพูดถึงเด็กเล็กที่ระบบทางเดินหายใจและภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรง หากไปเจอกับฝุ่นละอองขนาดเล็กเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดโรคเรื้อรัง เช่น โรคหอบหืด โรคภูมิแพ้ หรือแม้แต่ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของสมองและปอด ส่งผลเสียทั้งด้านสุขภาพและคุณภาพชีวิต

การรู้ถึงวิธีป้องกันฝุ่น PM 2.5 จะช่วยให้สามารถรับมือได้อย่างเหมาะสม และช่วยปกป้องลูกน้อยให้ปลอดภัย เติบโตตามวัยอย่างมีสุขภาพที่แข็งแรง

การสวมใส่หน้ากากอนามัยเป็นวิธีป้องกันฝุ่น PM2.5 ให้ลูก

ฝุ่น PM 2.5 คืออะไร ?

ฝุ่น PM 2.5 เป็นฝุ่นละอองขนาดเล็กมากที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 2.5 ไมโครเมตร หรือประมาณ 1 ใน 25 ของเส้นผมมนุษย์ ด้วยขนาดเล็กจิ๋วเช่นนี้ ทำให้สามารถลอยอยู่ในอากาศได้นาน และซึมเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจได้ลึกถึงปอด ซึ่งถ้าเด็กเล็กได้รับฝุ่นละอองนี้เข้าไป นอกจากจะสร้างความเจ็บป่วยจากการระคายเคืองต่อฝุ่นแล้ว ยังส่งผลกระทบที่เป็นอันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพในระยะยาวอีกด้วย

ฝุ่น PM 2.5 เกิดจากอะไร ?

แหล่งธรรมชาติ

ไฟป่า

ไฟป่าเป็นหนึ่งในแหล่งกำเนิดฝุ่น PM 2.5 ที่สำคัญ โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้งที่สภาพอากาศแห้งและร้อนจัด ทำให้เกิดไฟป่าได้ง่าย ควันที่เกิดจากการเผาไหม้ของต้นไม้และใบไม้จะปล่อยฝุ่นละอองขนาดเล็กออกมาปริมาณมาก และสามารถแพร่กระจายไปยังพื้นที่ห่างไกลได้ผ่านกระแสลม

ลมพายุที่พัดฝุ่นจากพื้นดิน

ลมพายุสามารถพัดพาฝุ่นละอองขนาดเล็ก ละอองเกลือจากทะเล เกสรดอกไม้ ขึ้นไปในอากาศ และแพร่กระจายออกไปได้ไกล ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดฝุ่น PM 2.5 เช่นกัน

แหล่งที่มนุษย์สร้างขึ้น

ควันจากรถยนต์

การเผาไหม้เชื้อเพลิงจากรถยนต์ โดยเฉพาะรถที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลเป็นแหล่งปล่อยฝุ่น PM 2.5 และจะยิ่งมีจำนวนมากขึ้น ในบริเวณที่มีการจราจรหนาแน่น

ควันจากการเผากลางแจ้ง

การเผาในที่แจ้งไม่ว่าจะเป็น การเผาขยะ เผาเศษพืชจากการเกษตร และการเผาป่าเพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูก เป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักที่ก่อให้เกิดฝุ่น PM 2.5 ในระดับสูง ทั้งยังสามารถแพร่กระจายไปยังเมืองใหญ่และพื้นที่ใกล้เคียง

ควันจากโรงงานอุตสาหกรรม

โรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้เชื้อเพลิงถ่านหิน น้ำมัน หรือแก๊สธรรมชาติในกระบวนการผลิต สามารถปล่อยสารพิษ เช่น ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และไนโตรเจนออกไซด์ ซึ่งเป็นตัวการสำคัญของฝุ่นละอองขนาดเล็ก

ฝุ่นละอองในอากาศจากการก่อสร้าง

ในพื้นที่ที่มีโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ เช่น อาคารสูง ทางด่วน หรือโครงการขยายถนน มักจะเกิดฝุ่นละอองจากการขุดเจาะพื้นดิน การตัดหิน และการขนส่งวัสดุก่อสร้าง

ทำไมฝุ่น PM 2.5 อันตรายต่อเด็กเล็ก ?

เด็กเล็กจะได้รับผลกระทบจากฝุ่น PM 2.5 มากกว่าผู้ใหญ่ ด้วยเหตุผลสำคัญ ดังนี้

  • เด็กมีอัตราการหายใจเร็วกว่าผู้ใหญ่ ประมาณ 2-3 เท่า เนื่องจากร่างกายต้องการออกซิเจนมากขึ้นเพื่อการเจริญเติบโต ส่งผลให้ร่างกายสูดฝุ่น PM 2.5 เข้าไปในปริมาณมากโดยไม่รู้ตัว
  • ระบบภูมิคุ้มกันและระบบการหายใจยังพัฒนาไม่เต็มที่ จึงยังไม่แข็งแรงเพียงพอที่จะต้านทานการระคายเคืองจากฝุ่นละออง และมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ
  • ลดความสามารถในการเรียนรู้และความจำ เนื่องจากการเจริญเติบโตของเซลล์สมองและการเชื่อมต่อของเซลล์ประสาท ถูกฝุ่นละอองขนาดเล็กรบกวน

การกินอาหารมีประโยชน์เป็นวิธีป้องกันฝุ่น PM 2.5

วิธีป้องกันฝุ่น PM 2.5 สำหรับเด็กเล็ก

การป้องกันฝุ่น PM 2.5 เพื่อให้เด็กเล็กปลอดภัยจากอันตราย และมีสุขภาพที่แข็งแรง สามารถทำได้ดังนี้

  • ติดตามสถานการณ์ PM 2.5 อย่างสม่ำเสมอ โดยใช้แอปพลิเคชัน เช่น AirVisual, Air4Thai เพื่อตรวจสอบคุณภาพอากาศก่อนออกจากบ้าน
  • หลีกเลี่ยงการพาเด็กเล็กไปทำกิจกรรมนอกบ้าน หากค่าฝุ่นเกิน 50 AQI แต่ถ้าจำเป็นต้องออกนอกบ้านจริง ๆ ควรให้เด็กสวมหน้ากาก N95 หรือ KF94 ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก เพื่อช่วยป้องกันฝุ่น
  • เสริมสร้างโภชนาการที่ครบถ้วน เน้นการกินผักและผลไม้ที่มีวิตามิน C และ E เพราะมีคุณสมบัติช่วยลดอนุมูลอิสระ รวมถึงอาหารที่มีโอเมก้า 3 เช่น ปลาทะเล ถั่ว เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
  • ดื่มน้ำสะอาดวันละ 8-10 แก้วต่อวัน เพื่อช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย และลดการสะสมของฝุ่นในระบบเลือด
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ควรให้เด็กนอน 10-12 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟู และระบบภูมิคุ้มกันทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ
  • ควรดูแลเด็กที่มีโรคประจำตัวอย่างใกล้ชิด หากพบความผิดปกติให้รีบไปพบแพทย์
  • ปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิด หรือใช้ม่านกันฝุ่น เพื่อป้องกันฝุ่นละอองจากภายนอก ไม่ให้เข้ามาในบ้าน
  • หมั่นทำความสะอาดบ้าน โดยใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดฝุ่น แทนการปัดฝุ่น เพื่อลดการฟุ้งกระจาย
  • เปิดเครื่องฟอกอากาศ ที่มีแผ่นกรอง HEPA ซึ่งสามารถกรองฝุ่น PM2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มปริมาณอากาศบริสุทธิ์

การป้องกันฝุ่น PM 2.5 สำหรับเด็กเล็กต้องทำอย่างรอบด้าน ตั้งแต่การปรับสภาพแวดล้อม ไปจนถึงการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน พ่อแม่สามารถช่วยลดความเสี่ยงให้ลูกได้จากวิธีการเหล่านี้ และมาเสริมเกราะปกป้องลูกน้อยด้วยของใช้ทารกแรกเกิดคุณภาพมาตรฐาน ที่ The Selection มีสินค้าของใช้เด็กแรกเกิด ให้เลือกใช้งานอย่างหลากหลาย หรือสนใจสินค้าอื่น ๆ เพิ่มเติม พร้อมรับโปรโมชันดี ๆ คลิก https://www.theselectionth.com/shop/

ข้อมูลอ้างอิง

  1. แนวทางการป้องกันและดูแลสุขภาพจากฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน สำหรับสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย. สืบค้นเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 จาก https://hia.anamai.moph.go.th/web-upload/12xb1c83353535e43f224a05e184d8fd75a/m_magazine/35644/2924/file_download/afa9e7cdcb54dd9be0b2cb3d7bb1abfe.pdf

4 อาการแพ้ฝุ่น PM 2.5 ที่หลายคนมองข้าม พร้อมวิธีป้องกันตัวเอง

ผู้หญิงมีอาการแพ้ฝุ่น PM 2.5 ที่สังเกตได้ คืออาการไอ ระคายคอ

ฝุ่น PM 2.5 เป็นมลพิษทางอากาศที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพมากกว่าที่คิด หลายคนอาจไม่ทันสังเกตว่าอาการผิดปกติที่เป็นอยู่ อาจเกิดจากอาการแพ้ฝุ่น PM 2.5 ก็เป็นได้ และถ้าหากยิ่งปล่อยไว้อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว มาดูกันว่า 4 อาการแพ้ PM 2.5 ที่สังเกตได้มีอะไรบ้าง พร้อมวิธีดูแลตัวเองให้ปลอดภัยจากฝุ่นพิษนี้

ผู้หญิงมีอาการแพ้ฝุ่น PM 2.5 ที่สังเกตได้ คืออาการไอ ระคายคอ

4 อาการแพ้ฝุ่น PM 2.5 ที่สังเกตได้

ฝุ่น PM2.5 สามารถเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายและก่อให้เกิดอาการแพ้ได้โดยไม่รู้ตัว ยิ่งถ้าไม่มีการป้องกัน อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ตามมา มาสังเกตอาการเบื้องต้นกันว่า ร่างกายของเรากำลังมีอาการแพ้ฝุ่น PM 2.5 อยู่หรือไม่กัน

อาการแพ้ฝุ่นทั่วไปที่อาจเกิดขึ้น

อาการแพ้ฝุ่น PM 2.5 ทั่วไปที่พบได้บ่อยคือ อาการปวดศีรษะ อ่อนเพลีย หายใจติดขัด โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหอบหืดหรือโรคปอด บางกรณีอาจรู้สึกคลื่นไส้ เวียนศีรษะ หรือรู้สึกไม่สบายตัวโดยไม่ทราบสาเหตุ

ระบบทางเดินหายใจผิดปกติ

ฝุ่นขนาดเล็กสามารถเข้าสู่ปอดได้ลึก ทำให้เกิดอาการไอเรื้อรัง คัดจมูก น้ำมูกไหล หรือแน่นหน้าอก สำหรับผู้ที่เป็นโรคหอบหืดหรือโรคปอด อาการอาจรุนแรงขึ้น และเสี่ยงต่อภาวะหลอดลมอักเสบ

อาการแพ้ทางผิวหนัง

ฝุ่น PM2.5 อาจไปกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้จนเกิดผื่นคัน ผิวแห้ง หรืออักเสบ ยิ่งถ้าใครต้องเจอกับฝุ่นเป็นเวลานาน อาจทำให้เป็นโรคผิวหนังตามมา เช่น โรคผื่นภูมิแพ้ และมีอาการที่รุนแรงขึ้น

อาการทางดวงตา

ฝุ่นละอองสามารถทำให้เกิดการระคายเคืองที่ดวงตา เช่น ตาแดง แสบตา น้ำตาไหลผิดปกติ หรือแม้กระทั่งอาการตาแห้งและพร่ามัว หากได้รับฝุ่นในปริมาณมาก

 

ดัชนีคุณภาพอากาศต้องสูงแค่ไหน ถึงเรียกว่าอันตรายต่อสุขภาพ ?

ค่าดัชนีคุณภาพอากาศ (Air Quality Index : AQI) เป็นตัวบ่งชี้ว่ามลพิษทางอากาศอยู่ในระดับที่ปลอดภัยหรือเป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือไม่ โดยมีรายละเอียดดังนี้

AQI 51-100 : คุณภาพอากาศปานกลาง

ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น หอบหืด โรคปอด หรือภูมิแพ้ อาจเริ่มมีอาการแพ้เบื้องต้น เช่น ไอ หายใจลำบาก ระคายเคืองตา ควรลดระยะเวลาการทำกิจกรรมกลางแจ้งและติดตามคุณภาพอากาศอย่างใกล้ชิด

AQI 101-200 : เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ

ประชาชนทั่วไปควรลดกิจกรรมกลางแจ้งหากไม่จำเป็น โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ควรหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีฝุ่นมากและสวมหน้ากากป้องกัน หากมีอาการหายใจลำบาก ตาอักเสบ แน่นหน้าอก หรือปวดศีรษะ ควรไปพบแพทย์

AQI 201 ขึ้นไป : ระดับอันตราย

ทุกคนควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งและอยู่ในพื้นที่ที่มีระบบกรองอากาศ หากจำเป็นต้องออกจากบ้าน ควรสวมหน้ากาก N95 หรือ KN95 และหากมีอาการผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์

ผู้หญิงสวมหน้ากาก N95 เพื่อป้องการอาการแพ้ฝุ่น PM2.5

แพ้ฝุ่น PM 2.5 ควรทำอย่างไร ? : วิธีดูแลตัวเองให้ปลอดภัยจากฝุ่นตัวร้าย

เมื่อดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) อยู่ในระดับที่เป็นอันตราย การดูแลตัวเองให้ปลอดภัยจากฝุ่น PM2.5 เป็นสิ่งที่เราต้องใส่ใจและให้ความสำคัญ โดยมีวิธีง่าย ๆ ที่ทำตามได้ดังนี้

หลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีมลพิษสูง

  • หลีกเลี่ยงการออกนอกบ้านในวันที่คุณภาพอากาศแย่
  • หากจำเป็นต้องออกไปข้างนอก ควรเลือกเส้นทางที่มีต้นไม้เยอะ หรือหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีการจราจรคับคั่ง

อยู่ในอาคารที่มีระบบกรองอากาศ

  • ติดตั้งเครื่องฟอกอากาศภายในบ้านและที่ทำงาน
  • ปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิด เพื่อช่วยลดปริมาณฝุ่น PM2.5 ที่ถูกพัดพาเข้ามาภายในอาคาร

ทำความสะอาดที่อยู่อาศัยอย่างสม่ำเสมอ

  • ใช้เครื่องดูดฝุ่นที่มีแผ่นกรอง HEPA แทนการกวาดบ้าน
  • ทำความสะอาดพื้น เฟอร์นิเจอร์ และผ้าม่านบ่อย ๆ

ล้างหน้า ดวงตา และจมูกด้วยน้ำเกลือ

  • การล้างจมูกจะช่วยลดปริมาณฝุ่นละอองที่สะสมในโพรงจมูก
  • ล้างหน้าด้วยน้ำสะอาดหลังออกไปข้างนอกเพื่อลดการสะสมของฝุ่นบนผิวหนัง

หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง

  • ลดระยะเวลาการออกกำลังกายกลางแจ้งในช่วงที่อากาศแย่
  • หากต้องออกกำลังกาย ควรเลือกพื้นที่ปิดที่มีอากาศถ่ายเท

สวมหน้ากากป้องกันฝุ่น PM2.5

ใช้หน้ากาก N95 หรือ KN95 ที่สามารถกรองฝุ่นขนาดเล็กได้
เปลี่ยนหน้ากากเป็นประจำเพื่อรักษาประสิทธิภาพการกรองฝุ่น

 

ไม่ปล่อยให้อาการแพ้ฝุ่น PM 2.5 ทำลายสุขภาพของคุณ !

อาการแพ้ฝุ่น PM 2.5 เป็นปัญหาสุขภาพที่ไม่ควรมองข้าม หากคุณมีอาการผิดปกติ ควรรีบป้องกันและดูแลตัวเองก่อนที่มลพิษจะทำลายสุขภาพของคุณ

สำหรับใครที่ชอบอ่านบทความเกี่ยวกับสุขภาพ ที่ The Selection เรามีบทความสุขภาพและเคล็ดลับการดูแลตนเองแบบง่าย ๆ มาฝากเป็นประจำ เพราะเราเป็นแพลตฟอร์มสำหรับคนยุคใหม่ที่ตอบโจทย์คนรักสุขภาพ พร้อมแนะนำผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพต่าง ๆ ที่สามารถนำไปใช้ดูแลตนเองและคนในครอบครัว พร้อมส่วนลดพิเศษเฉพาะคุณ คลิก https://www.theselectionth.com/shop/

5 โรคที่ควรระวังของคนวัย 30+ พร้อมวิธีลดความเสี่ยง

ผู้หญิงอายุ 30+ มีฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงไป ทำให้เสี่ยงเป็นโรคไมเกรน

เมื่อก้าวเข้าสู่วัย 30+ ร่างกายเริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นระบบเผาผลาญที่เริ่มช้าลง การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หรือการเสื่อมของเซลล์ต่าง ๆ ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรัง ยิ่งถ้าใครละเลยไม่ดูแลสุขภาพ อาจส่งผลร้ายในระยะยาวได้ ดังนั้น การรู้เท่าทันโรคที่พบบ่อยในวัยนี้และหาวิธีดูแลตนเองอย่างเหมาะสมจึงเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ มาดูกันว่า 5 โรคที่ควรระวังของคนอายุ 30+ มีโรคใดบ้าง ? และควรตรวจสุขภาพอะไรบ้างเพื่อช่วยลดความเสี่ยงเกิดโรคเรื้อรังในอนาคต

ผู้หญิงอายุ 30+ มีฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงไป ทำให้เสี่ยงเป็นโรคไมเกรน

5 โรคที่ควรระวังของคนวัย 30+ ควรดูแลสุขภาพยังไง ?

พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เร่งรีบ ความเครียดจากการทำงาน และการดูแลสุขภาพที่ไม่สมดุล อาจทำให้เป็นโรคเรื้อรังได้โดยไม่รู้ตัว มาดูว่าโรคที่พบบ่อยในวัยนี้มีอะไรบ้าง และเราจะป้องกันได้อย่างไร

1. โรคปวดหัวไมเกรน

ไมเกรนเป็นอาการปวดศีรษะเรื้อรังที่พบบ่อยในวัย 30+ โดยเฉพาะในผู้หญิง สำหรับปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้ปวดหัวไมเกรน ได้แก่ ความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ และการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ลักษณะอาการจะทำให้ปวดศีรษะข้างเดียว อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือไวต่อแสงและเสียงร่วมด้วย

วิธีป้องกัน

  • นอนหลับให้เพียงพอ
  • หลีกเลี่ยงอาหารกระตุ้นไมเกรน เช่น ชา กาแฟ และแอลกอฮอล์
  • ออกกำลังกายเพื่อลดความเครียดและกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต

2. โรคหัวใจและหลอดเลือด

วัย 30+ เป็นช่วงที่เริ่มมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด หากมีพฤติกรรมการกินที่ไม่ดี เช่น บริโภคไขมันสูง ขาดการออกกำลังกาย หรือเครียดสะสม อาการที่ต้องระวัง ได้แก่ เจ็บแน่นหน้าอก เหนื่อยง่าย หัวใจเต้นผิดปกติ หากไม่ได้รับการดูแล อาจนำไปสู่ภาวะหัวใจขาดเลือดหรือโรคหลอดเลือดสมอง

วิธีป้องกัน

กินอาหารที่ช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพระบบการทำงานของหัวใจ เช่น ผัก ผลไม้ และปลา

  • หลีกเลี่ยงอาหารทอดและไขมันทรานส์
  • ออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์

3. โรคกรดไหลย้อน

พฤติกรรมการกินอาหารไม่ตรงเวลา กินรสจัด หรือการนอนทันทีหลังกินอาหาร อาจทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อน ซึ่งเป็นภาวะที่น้ำย่อยจากกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาสู่หลอดอาหาร ทำให้รู้สึกแสบร้อนกลางอก เรอเปรี้ยว และระคายเคืองในลำคอ

วิธีป้องกัน

  • หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด ของมัน และของทอด
  • ไม่ควรนอนทันทีหลังกินอาหาร
  • ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน

4. โรคเนื้องอกในมดลูก

เนื้องอกในมดลูกเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในผู้หญิงอายุ 30+ โดยมีปัจจัยเสี่ยงจากฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง เช่น เอสโตรเจนและโพรเจสเทอโรน ซึ่งอาจส่งผลต่อรอบเดือน และในบางกรณี อาจกระทบต่อภาวะเจริญพันธุ์

วิธีป้องกัน

  • ตรวจสุขภาพเป็นประจำ
  • ควบคุมฮอร์โมนด้วยการกินอาหารที่สมดุล
  • หลีกเลี่ยงการใช้ฮอร์โมนเสริมโดยไม่จำเป็น

5. โรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ

ภาวะติดเชื้อแบคทีเรียในระบบทางเดินปัสสาวะพบได้บ่อยในผู้ที่กลั้นปัสสาวะเป็นประจำ หรือมีสุขอนามัยที่ไม่ดี อาการที่พบบ่อย ได้แก่ ปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะบ่อยแต่ไม่สุด และอาจมีกลิ่นผิดปกติ หากปล่อยไว้ อาจลุกลามไปที่ไตและทำให้เกิดอาการไข้สูง ปวดหลัง และอ่อนเพลีย

วิธีป้องกัน

  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ
  • ไม่ควรกลั้นปัสสาวะนานเกินไป
  • ดูแลสุขอนามัยบริเวณจุดซ่อนเร้นให้สะอาดอยู่เสมอ

 

อายุ 30 ควรตรวจสุขภาพอะไรบ้าง ?

 

วิธีลดความเสี่ยงโรคของคนอายุ 30+

แม้ว่าคนอายุ 30+ จะเป็นช่วงที่ร่างกายเริ่มเปลี่ยนแปลง แต่เราสามารถลดความเสี่ยงของโรคต่าง ๆ ได้ด้วยการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตเพื่อสุขภาพที่แข็งแรงในระยะยาว ดังนี้

  • เลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช โปรตีนคุณภาพสูง และลดการบริโภคน้ำตาล
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อย 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต
  • พักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 7-8 ชั่วโมง เพื่อลดความเครียดและฟื้นฟูร่างกาย
  • หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง เช่น บุหรี่ แอลกอฮอล์ และอาหารที่มีไขมันสูง
  • ตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อเช็กความผิดปกติของร่างกายและป้องกันโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้นก

 

อายุ 30 ควรตรวจสุขภาพอะไรบ้าง ?

การตรวจสุขภาพประจำปีเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะในวัย 30+ ที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย โดยควรตรวจสุขภาพที่สำคัญ ดังนี้

  • ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC) เพื่อตรวจหาโลหิตจางหรือการติดเชื้อ
  • ตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันโรคเบาหวาน
  • ตรวจวัดระดับไขมันในเลือด ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด
  • ตรวจวัดระดับกรดยูริก เพื่อตรวจหาโรคเกาต์
  • ตรวจการทำงานของไตและตับ เพื่อป้องกันภาวะไตวายและโรคตับ
  • ตรวจปัสสาวะ เพื่อตรวจหาโรคทางเดินปัสสาวะ
  • เอกซเรย์ปอด เพื่อตรวจหาความผิดปกติของปอด

นอกจากการตรวจสุขภาพพื้นฐานแล้ว ควรตรวจประเมินความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจ รวมถึงตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและฉีดวัคซีน เนื่องจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเป็นเวลานาน อาจเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับได้

ดูแลสุขภาพตั้งแต่วันนี้ ลดเสี่ยงโรควัย 30+

ร่างกายเปลี่ยนแปลง แต่สุขภาพดีเริ่มต้นได้ที่ตัวคุณ สามารถติดตามเกร็ดความรู้สั้น ๆ เกี่ยวกับสุขภาพที่น่าสนใจได้ที่ The Selection แพลตฟอร์มสำหรับคนยุคใหม่ที่ตอบโจทย์คนรักสุขภาพ พร้อมแนะนำผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพและสินค้าเพื่อสุขภาพที่ได้รับการคัดสรรมาเพื่อคุณโดยเฉพาะ พร้อมส่วนลดพิเศษเฉพาะคุณ

เข้ามาดูรายละเอียดผลิตภัณฑ์และส่วนลดพิเศษจาก The Selectionได้ที่ https://www.theselectionth.com/shop/

แหล่งข้อมูล

  1. โรคหัวใจไม่รอวัย ทำไมคนอายุ 30 ต้องระวัง. สืบค้นเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568 จาก https://www.phyathai.com/th/article/heart-disease-can-happen-at-any-age-ptn
  2. ตรวจสุขภาพตามช่วงอายุ เลือกให้เหมาะเพื่อประโยชน์ที่มากกว่า. สืบค้นเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568 จาก https://www.phyathai.com/th/article/health-checkup-program
  3. อายุ 30 ปี ขึ้นไป เสี่ยงโรคจริงหรือ ?. สืบค้นเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568 จาก https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/article/อายุ-30-ปี-ขึ้นไป-เสี่ยงโรค/

ฝุ่น PM 2.5 กับผลกระทบต่อสุขภาพผู้สูงวัยและวิธีป้องกัน

ผู้สูงอายุสวมหน้ากากป้องกัน PM2.5 ลดผลกระทบต่อสุขภาพ

PM 2.5 คือฝุ่นขนาดเล็กที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนทุกเพศทุกวัย เนื่องจากสามารถแทรกซึมเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจและเข้าสู่กระแสเลือดได้ง่ายดาย โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ที่เสี่ยงต่อการถูกกระตุ้นให้โรคที่เป็นอยู่กำเริบ ทั้งยังอาจเพิ่มโอกาสเกิดโรคร้ายแรงได้อีกด้วย

ดังนั้น การทำความเข้าใจเกี่ยวกับอันตรายของ PM 2.5 เพื่อเตรียมพร้อมรับมือและป้องกันอย่างเหมาะสมจึงจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อช่วยให้ผู้สูงอายุปลอดภัย ห่างไกลฝุ่นพิษ

ผู้สูงอายุสวมหน้ากากป้องกัน PM2.5 ลดผลกระทบต่อสุขภาพ

ฝุ่น PM 2.5 มาจากไหน ?

ฝุ่น PM 2.5 มีแหล่งกำเนิดจากทั้งธรรมชาติและกิจกรรมของมนุษย์ โดยสาเหตุหลัก ๆ ได้แก่

  • ฝุ่นละอองจากธรรมชาติ เช่น ละอองเกสรดอกไม้ ละอองเกลือทะเล และฝุ่นดิน ซึ่งสามารถลอยเข้าสู่ชั้นบรรยากาศและส่งผลต่อคุณภาพอากาศ
  • ควันจากไฟป่า ซึ่งเกิดจากการเผาไหม้ตามธรรมชาติ พบได้บ่อยในช่วงหน้าแล้ง มักส่งผลกระทบรุนแรงในภาคเหนือของประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีป่าไม้หนาแน่น
  • ควันจากท่อไอเสียรถยนต์ โดยเฉพาะจากเครื่องยนต์ดีเซล ซึ่งปล่อยเขม่าควันและสารพิษต่าง ๆ ออกสู่บรรยากาศ ยิ่งในเมืองที่มีการจราจรแออัด ฝุ่น PM2.5 จากแหล่งนี้จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก
  • ควันจากการเผากลางแจ้ง เช่น การเผาเศษซากจากการเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตร การเผาขยะ หรือการเผาหญ้าในพื้นที่ชนบท ก่อให้เกิดหมอกควันและมลพิษที่กระจายตัวในอากาศ
  • มลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม โดยเฉพาะจากกระบวนการเผาไหม้เชื้อเพลิง เช่น ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ส่งผลให้เกิดฝุ่นละอองและก๊าซพิษที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
  • การก่อสร้างและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เป็นแหล่งกำเนิดฝุ่นที่สำคัญในพื้นที่เมืองที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ผลกระทบของฝุ่น PM 2.5 ต่อผู้สูงอายุ

ผู้สูงอายุเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะเจ็บป่วยจากฝุ่น PM 2.5 ได้มากกว่ากลุ่มอื่น เนื่องจากมีระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอลง โดยผลกระทบต่อสุขภาพที่พบบ่อย ได้แก่

ผิวหนัง

เมื่อสัมผัสกับฝุ่น PM 2.5 จะก่อให้เกิดอาการระคายเคือง ผื่น คัน แห้งกร้าน และผิวหนังอ่อนแอลง เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อทางผิวหนังได้ง่ายขึ้น

ดวงตา

ฝุ่น PM 2.5 ที่เข้าสู่ดวงตา จะก่อให้เกิดอาการระคายเคือง ตาแดง แสบ น้ำตาไหล ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตประจำวัน และอาจนำไปสู่ปัญหาการติดเชื้อแทรกซ้อนได้

ระบบหลอดเลือดและหัวใจ

หากฝุ่น PM 2.5 แทรกซึมเข้าสู่ระบบหลอดเลือดและหัวใจ และสะสมอยู่ภายในเป็นเวลานาน จะกระตุ้นให้เกิดอาการเจ็บหน้าอก หายใจถี่ ทั้งยังเพิ่มความรุนแรงของโรคหลอดเลือดหัวใจ ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือหัวใจล้มเหลวได้

ระบบทางเดินหายใจ

ฝุ่น PM 2.5 ที่เข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ จะก่อให้เกิดความระคายเคืองจมูก แสบจมูก ไอ มีเสมหะ แน่นหน้าอก เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อทางเดินหายใจ เช่น ปอดอักเสบ รวมถึงผู้ป่วยโรคหอบหืด โรคหลอดลมอักเสบ มักมีอาการกำเริบรุนแรงขึ้น

การติดตั้งเครื่องฟอกอากาศป้องกัน PM 2.5 ลดผลกระทบต่อสุขภาพ

วิธีป้องกันและดูแลผู้สูงอายุให้ห่างไกลฝุ่น PM 2.5

การป้องกันและดูแลผู้สูงอายุให้ปลอดภัยจากฝุ่น PM 2.5 สามารถทำได้หลายวิธี ดังต่อไปนี้

  • หลีกเลี่ยงการพาผู้สูงอายุไปอยู่ในพื้นที่ที่มีฝุ่นมาก เช่น บริเวณถนนที่มีการจราจรหนาแน่น หรือใกล้แหล่งก่อสร้าง รวมถึงบริเวณที่มีการเผาขยะหรือวัสดุการเกษตร
  • ใส่หน้ากากป้องกันฝุ่น PM 2.5 โดยควรเลือกใช้หน้ากาก N95 หรือหน้ากากที่มีคุณสมบัติกรองฝุ่นขนาดเล็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ และหมั่นเปลี่ยนหน้ากาก เนื่องจากไม่ควรใช้ซ้ำเกิน 2-3 วัน
  • ปิดประตูหน้าต่างในวันที่ค่าฝุ่นสูง เพื่อลดการสะสมของฝุ่นภายในบ้าน
  • หมั่นทำความสะอาดบ้านอยู่เสมอ โดยใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดฝุ่นแทนการปัดฝุ่นที่ทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจาย
  • ใช้เครื่องฟอกอากาศ ที่มีแผ่นกรอง HEPA ซึ่งสามารถกรองฝุ่น PM 2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยลดการระคายเคืองของทางเดินหายใจและเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับร่างกาย
  • ล้างหน้า ล้างจมูก และอาบน้ำ หลังออกไปข้างนอก เพื่อชำระฝุ่นละอองออกจากร่างกาย
  • ลดการทำกิจกรรมกลางแจ้ง โดยเฉพาะในวันที่ค่าฝุ่นสูง เพื่อหลีกเลี่ยงการสูดดมฝุ่นเข้าไปในร่างกาย
  • ติดตามข่าวสารและสถานการณ์ฝุ่นเป็นประจำ ผ่านแอปพลิเคชันตรวจคุณภาพอากาศ เช่น AirVisual หรือเว็บไซต์ของกรมควบคุมมลพิษ

อุปกรณ์ช่วยเหลือผู้สูงอายุสำหรับป้องกันฝุ่น PM 2.5

นอกจากวิธีป้องกันทั่วไปแล้ว การใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือผู้สูงอายุก็สามารถเพิ่มความปลอดภัยให้แก่ผู้สูงวัยได้ ดังนี้

  • หน้ากากกรองฝุ่นคุณภาพสูง ที่สามารถป้องกันฝุ่น PM 2.5 ได้ดี
  • อุปกรณ์ช่วยหายใจ เช่น เครื่องผลิตออกซิเจนสำหรับผู้ที่มีโรคระบบทางเดินหายใจ
  • อุปกรณ์ช่วยเดิน เช่น รถเข็น หรือไม้เท้า เพื่อช่วยลดการออกแรงเมื่อจำเป็นต้องออกจากบ้าน ลดการสูดหายใจเอาฝุ่นพิษเข้าสู่ร่างกาย

การดูแลสุขภาพผู้สูงอายุในช่วงที่มีปัญหาฝุ่น PM 2.5 ต้องอาศัยความใส่ใจและการเตรียมพร้อมอย่างรอบด้าน ทั้งการป้องกันและการใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสม เพื่อให้ผู้สูงวัยมีคุณภาพชีวิตที่ดีและห่างไกลจากผลกระทบของมลพิษทางอากาศ

มาเพิ่มความมั่นใจในการดูแลสุขภาพของผู้สูงวัย ด้วยอุปกรณ์ผู้สูงอายุคุณภาพมาตรฐาน ที่ The Selection หรือเลือกชมสินค้าอื่น ๆ เพิ่มเติมพร้อมรับโปรโมชันดี ๆ คลิก https://www.theselectionth.com/product-category/elderlypatientcare/

ข้อมูลอ้างอิง

  1. สูงวัย ปลอดภัย จากความร้อน และ PM2.5. สืบค้นเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 จาก https://hia.anamai.moph.go.th/web-upload/12xb1c83353535e43f224a05e184d8fd75a/m_magazine/35644/4954/file_download/5c100aef7ef0e2e23c7fd5f2685ebdde.pdf

8 ไอเดียซื้อของขวัญเพื่อสุขภาพให้ผู้ใหญ่ ราคาไม่แพง

ไอเดียของขวัญผู้สูงอายุ

ในยุคที่ผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น การเลือกของขวัญเพื่อสุขภาพจึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับการมอบให้ผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ ดังนั้น The Selection จึงรวบรวมไอเดียของขวัญมามาแนะนำถึง 8 ชิ้นด้วยกัน เพื่อให้คุณมั่นใจว่าจะสามารถมอบของขวัญที่มีประโยชน์และตรงใจผู้รับในทุกเทศกาล

 

ไอเดียของขวัญผู้สูงอายุ

 

วิธีเลือกซื้อของขวัญเพื่อสุขภาพให้ผู้ใหญ่

การเลือกของขวัญเพื่อสุขภาพให้ผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุ จำเป็นต้องคำนึงถึงหลายปัจจัยประกอบกัน เพื่อให้ได้สิ่งที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์อย่างแท้จริง ซึ่งมีเทคนิคสำคัญดังต่อไปนี้

  • พิจารณาอายุและสภาพร่างกาย
    สิ่งแรกที่ควรทำคือการทำความเข้าใจผู้รับของขวัญให้ถ่องแท้เสียก่อน เพราะผู้ใหญ่แต่ละคนมีความต้องการและสภาพร่างกายที่แตกต่างกัน ดังนั้น การสังเกตและสอบถามข้อมูลเบื้องต้นจึงมีความสำคัญ เนื่องจากจะช่วยให้เราเลือกของขวัญได้ตรงกับความต้องการและเกิดประโยชน์ต่อผู้รับอย่างแท้จริง
  • ตรวจสอบมาตรฐานและความปลอดภัย
    หลังจากทราบความต้องการแล้ว สิ่งสำคัญลำดับต่อมาคือการเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน โดยต้องตรวจสอบการรับรองจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้ เพราะนอกจากจะสร้างความมั่นใจในการใช้งานแล้ว ยังช่วยป้องกันผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้อีกด้วย
  • ความสะดวกในการใช้งาน
    แม้ว่าคุณภาพและความปลอดภัยจะสำคัญ แต่ของขวัญที่ดีก็ควรใช้งานง่ายและไม่ซับซ้อน เพราะหากผลิตภัณฑ์มีขั้นตอนการใช้งานที่ยุ่งยาก ก็อาจทำให้ผู้รับรู้สึกลำบากจนเลือกที่จะไม่ใช้งานในที่สุด
  • ประโยชน์ระยะยาว
    นอกจากปัจจัยข้างต้นแล้ว สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือคุณค่าและประโยชน์ในระยะยาว เนื่องจากของขวัญเพื่อสุขภาพที่ดีควรช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้รับให้ดีขึ้น อีกทั้งควรใช้งานได้อย่างต่อเนื่องและคุ้มค่า
  • ความเหมาะสมกับโอกาส
    สุดท้ายแล้ว การเลือกของขวัญควรต้องคำนึงถึงความเหมาะสมกับเทศกาลหรือโอกาสพิเศษนั้น ๆ ด้วย เพราะการเลือกของขวัญที่เข้ากับโอกาสจะช่วยเพิ่มคุณค่าทางจิตใจ ซึ่งจะทำให้ผู้รับรู้สึกถึงความตั้งใจและความปรารถนาดีของผู้ให้อย่างแท้จริง

 

8 ไอเดียซื้อของขวัญเพื่อสุขภาพให้ผู้ใหญ่ ราคาไม่แพง เหมาะกับทุกเทศกาล

สำหรับใครที่กำลังมองหาของขวัญปีใหม่หรือในวันสำคัญต่าง ๆ ให้ผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุ เรามีไอเดียของขวัญเพื่อสุขภาพมาแนะนำ 8 ชิ้น มาดูกันว่าจะมีอะไรน่าสนใจบ้าง

1. รองเท้าเพื่อสุขภาพ

เริ่มต้นด้วยของขวัญที่ช่วยดูแลสุขภาพตั้งแต่ปลายเท้า นั่นคือรองเท้าที่ออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ โดยทั่วไปแล้ว รองเท้าประเภทนี้จะมีโครงสร้างพิเศษและแผ่นรองฝ่าเท้าแบบ 3 มิติ ซึ่งช่วยกระจายแรงกดทับได้อย่างสมดุล นอกจากนี้ ยังมีระบบรองรับแรงกระแทกที่ช่วยลดอาการปวดเมื่อยขณะเดินหรือยืน จึงเหมาะสำหรับผู้ใหญ่ที่ต้องยืนนานหรือผู้สูงอายุที่ต้องการรองเท้าที่ช่วยป้องกันการบาดเจ็บจากการสะดุดหรือลื่นล้ม

2. ถุงเท้าสุขภาพ

เมื่อพูดถึงการดูแลเท้าแล้ว อีกหนึ่งนวัตกรรมที่ไม่ควรมองข้ามคือถุงเท้าที่ออกแบบมาพิเศษสำหรับผู้ใส่ใจสุขภาพ ด้วยเนื้อผ้าที่มีความยืดหยุ่นสูงแต่ไม่บีบรัดบริเวณข้อเท้า พร้อมคุณสมบัติระบายอากาศที่ช่วยป้องกันการอับชื้น จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ใหญ่วัยทำงานที่ต้องใส่รองเท้าเป็นเวลานาน หรือผู้สูงอายุที่มักมีปัญหาเรื่องการไหลเวียนเลือดบริเวณเท้า

3. หมอนลดกรดไหลย้อน/หมอนสุขภาพ

จากการดูแลสุขภาพเท้า มาต่อกันที่การพักผ่อนที่มีคุณภาพ โดยหมอนสุขภาพถือเป็นของขวัญที่น่าสนใจ ด้วยการออกแบบที่ยกส่วนบนให้สูงกว่าปกติเล็กน้อย อีกทั้งยังมีรูปทรงที่โค้งรับตามแนวกระดูกคออย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้สามารถช่วยบรรเทาอาการกรดไหลย้อนและลดการปวดเมื่อยบริเวณต้นคอได้อย่างดี จึงเหมาะสำหรับผู้ใหญ่วัยทำงานที่มักมีปัญหาการนอน หรือผู้สูงอายุที่ต้องการยกระดับคุณภาพการนอนของตนเอง

4. ผ้าห่มใยไผ่ ผ้าปูเตียงใยไผ่

เมื่อมีหมอนที่ดีแล้ว สิ่งที่จะช่วยเสริมการนอนหลับที่มีคุณภาพก็คือ ผลิตภัณฑ์จากเส้นใยไผ่ธรรมชาติ ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษในการระบายอากาศและต้านเชื้อแบคทีเรีย ทำให้ผู้ใช้รู้สึกสบายตัวตลอดการพักผ่อน นอกจากนี้ ด้วยความนุ่มนวลของเนื้อผ้า จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มักมีผิวบอบบางและต้องการการดูแลเป็นพิเศษ

5. อาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ

เมื่อร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่แล้ว การดูแลสุขภาพจากภายในก็สำคัญไม่แพ้กัน ดังนั้น อาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพจึงเป็นของขวัญที่น่าสนใจสำหรับผู้ใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีตัวเลือกที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นชาสมุนไพรที่ช่วยผ่อนคลาย น้ำผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามิน หรือแม้แต่อาหารเสริมที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน ซึ่งตอบโจทย์ผู้ใหญ่ที่ต้องการดูแลสุขภาพแต่อาจไม่มีเวลาเลือกซื้อหรือจัดเตรียมด้วยตนเอง

6. ชุดจานชามพอร์ซเลนคุณภาพสูง

เมื่อมีอาหารดี ๆ แล้ว อุปกรณ์รับประทานก็สำคัญไม่แพ้กัน โดยชุดจานชามพอร์ซเลนเพื่อสุขภาพนี้ได้รับการออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ที่คำนึงถึงการใช้งานจริง ด้วยรูปทรงที่โค้งมนพิเศษ จึงช่วยให้ตักอาหารได้ง่ายแม้จะใช้มือเพียงข้างเดียว นอกจากนี้ ยังมาพร้อมขอบพิเศษที่ช่วยป้องกันอาหารหกเลอะ ซึ่งไม่เพียงช่วยลดภาระการใช้งานข้อมือเท่านั้น แต่ยังทำให้การรับประทานอาหารเป็นเรื่องที่สะดวกและปลอดภัยมากขึ้น จึงเหมาะสำหรับผู้ใหญ่ที่เริ่มมีปัญหาการใช้งานข้อมือ หรือผู้สูงอายุที่ต้องการความช่วยเหลือในการรับประทานอาหาร

7. เครื่องหอมตำรับไทย เพื่อการผ่อนคลาย

หลังจากดูแลเรื่องการรับประทานอาหารแล้ว อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามก็คือการผ่อนคลาย ซึ่งเครื่องหอมสมุนไพรไทยที่ผลิตด้วยกรรมวิธีดั้งเดิมสามารถตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี เพราะไม่เพียงแต่จะช่วยบรรเทาอาการวิงเวียนและหน้ามืดเท่านั้น แต่กลิ่นหอมจากสมุนไพรธรรมชาติยังช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับมอบให้ผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุที่ชื่นชอบการดูแลสุขภาพแบบธรรมชาติ และต้องการทางเลือกที่ปลอดภัยแทนการใช้ยาแผนปัจจุบัน

8. ดอกไม้ประดิษฐ์ทำมือ

นอกเหนือจากกลิ่นหอมของเครื่องหอมสมุนไพรแล้ว สภาพแวดล้อมที่สวยงามก็มีส่วนสำคัญในการสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย ด้วยเหตุนี้ ดอกไม้ประดิษฐ์จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะไม่เพียงสวยงามเหมือนดอกไม้จริงเท่านั้น แต่ยังปลอดภัยสำหรับผู้ที่แพ้ละอองเกสร ซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อยในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ อีกทั้งยังใช้ตกแต่งบ้านเพื่อสร้างบรรยากาศผ่อนคลายได้อย่างยาวนาน โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการดูแลรักษาหรือเปลี่ยนดอกไม้บ่อย ๆ เหมือนดอกไม้สด

สำหรับผู้ที่สนใจของขวัญเหล่านี้เพื่อมอบให้ผู้ใหญ่หรือมองหาสินค้าผู้สูงอายุ ผลิตภัณฑ์ผู้สูงอายุ สามารถเลือกชมและสั่งซื้อได้ที่เว็บไซต์ของ The Selection พร้อมรับโปรโมชันพิเศษและบริการจัดส่งถึงบ้าน หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม เรายินดีให้คำปรึกษาตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้คุณได้ของขวัญที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคนที่คุณรัก

คนป่วยกินอะไรได้บ้าง ? แนะนำ 5 เมนูที่ช่วยให้หายป่วยเร็ว

อาหารสำหรับคนป่วย

ในช่วงที่ร่างกายกำลังป่วยหรือพักฟื้น การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมนับเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้หายป่วยเร็วขึ้น The Selection เข้าใจถึงความต้องการนี้เป็นอย่างดี เราจึงรวบรวมเมนูอาหารสำหรับคนป่วยที่รับประทานง่าย มีประโยชน์ และช่วยฟื้นฟูร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพมาแนะนำกัน

 

การรับประทานอาหารสำหรับคนป่วยโดยเฉพาะสำคัญอย่างไร ?

เมื่อร่างกายอยู่ในภาวะเจ็บป่วย การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและเร่งการฟื้นตัวของร่างกายได้ดียิ่งขึ้น มาดูกันว่าทำไมการเลือกเมนูสำหรับคนป่วยโดยเฉพาะจึงสำคัญ

  • เพิ่มพลังงานให้ร่างกาย
    ในช่วงที่ป่วย ร่างกายต้องใช้พลังงานมากกว่าปกติในการต่อสู้กับเชื้อโรค ดังนั้น การได้รับสารอาหารที่เหมาะสมจึงช่วยให้ร่างกายมีพลังงานเพียงพอในการฟื้นตัว
  • ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
    นอกจากพลังงานแล้ว อาหารที่อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุยังช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายแข็งแรงและต่อสู้กับเชื้อโรคได้ดีขึ้น
  • ป้องกันภาวะขาดสารอาหาร
    เนื่องจากผู้ป่วยมักมีความอยากอาหารลดลง การเลือกอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงจึงช่วยป้องกันการขาดสารอาหารที่จำเป็น
  • ช่วยลดอาการไม่สบาย
    อาหารที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายจะช่วยบรรเทาอาการไม่สบายต่าง ๆ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน หรือท้องเสีย

 

อาหารสำหรับคนป่วย

 

คนป่วยกินอะไรได้บ้าง ? รวม 5 เมนูอาหารที่คนป่วยกินได้ เหมาะแก่การเยี่ยมไข้

สำหรับคนที่สงสัยว่าถ้าคนไม่สบายควรกินอะไรเพื่อช่วยให้หายป่วยได้เร็วขึ้น เราจึงรวบรวมเมนูที่เหมาะสำหรับการซื้อไปเยี่ยมผู้ป่วยมาแนะนำ ดังต่อไปนี้

1. อาหารประเภทซุปหรือน้ำแกง

อันดับแรกต้องยกให้กับอาหารที่รับประทานง่ายและเป็นที่นิยมสำหรับผู้ป่วย นั่นคืออาหารประเภทซุปหรือน้ำแกง เช่น ซุปไก่ใส่ผัก แกงจืดเต้าหู้ หรือต้มจับฉ่าย เพราะน้ำซุปอุ่น ๆ ไม่เพียงช่วยคลายความเจ็บคอ แต่ยังช่วยขับเสมหะและบรรเทาอาการคัดจมูกได้อีกด้วย นอกจากนี้ อาหารประเภทนี้ยังสามารถอุ่นทานได้หลายมื้อ จึงเป็นตัวเลือกที่สะดวกและประหยัดเวลาสำหรับผู้ป่วยที่ต้องพักผ่อนมาก ๆ หรือไม่สะดวกในการจัดเตรียมอาหารบ่อยครั้ง

2. อาหารที่มีโปรตีนสูง

ในขณะที่อาหารประเภทซุปมีความสำคัญ อาหารที่มีโปรตีนสูงก็จำเป็นไม่แพ้กัน โดยเฉพาะเมนูอย่างปลานึ่งซีอิ๊ว ไข่ตุ๋น หรือเต้าหู้นึ่งหมูสับ เพราะนอกจากจะย่อยง่ายแล้ว ยังอุดมไปด้วยโปรตีนคุณภาพดีที่จำเป็นต่อการฟื้นฟูร่างกาย ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับเป็นของฝากผู้ป่วยที่ต้องการสารอาหารเพื่อซ่อมแซมร่างกายโดยเฉพาะ

3. ผักและผลไม้

หลังจากที่ร่างกายได้รับโปรตีนเพียงพอแล้ว ผู้ป่วยยังจำเป็นต้องเสริมสร้างภูมิต้านทานด้วยวิตามินจากผักและผลไม้ที่หลากหลายอีกด้วย โดยเฉพาะผลไม้สดตามฤดูกาลอย่างส้ม ฝรั่ง หรือมะละกอสุกที่อุดมด้วยวิตามินซี รวมถึงผักนึ่งที่ย่อยง่ายอย่างบรอกโคลี ฟักทอง และแคร์รอต ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันและทำให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น อันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการเติมวิตามินและแร่ธาตุเพื่อการฟื้นฟูร่างกาย

4. เครื่องดื่มสมุนไพรบำรุงร่างกาย

นอกเหนือจากอาหารที่มีประโยชน์แล้ว การเลือกเครื่องดื่มที่ดีก็สำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะสมุนไพรไทยที่มีสรรพคุณเฉพาะตัว เช่น น้ำขิงผสมน้ำผึ้งมะนาวที่ช่วยบรรเทาอาการไอ น้ำใบเตยผสมเก๊กฮวยที่ช่วยลดไข้ หรือน้ำกระเจี๊ยบที่อุดมด้วยวิตามินซี ซึ่งน้ำสมุนไพรทั้งหมดนี้ ล้วนมีคุณสมบัติที่เก็บรักษาง่ายและดื่มได้ตลอดวัน จึงเป็นของฝากที่สะดวกและเหมาะสมสำหรับการเยี่ยมผู้ป่วย

5. อาหารทางการแพทย์สูตรครบถ้วน

สุดท้ายแล้ว อีกหนึ่งตัวเลือกที่ทั้งสะดวกและมีประโยชน์คือ อาหารเสริม Ensure Gold จาก The Selection ซึ่งประกอบด้วยโปรตีน วิตามิน แร่ธาตุ และใยอาหารครบถ้วน เหมาะสำหรับมอบให้ผู้ป่วยที่รับประทานอาหารได้น้อย ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่อยู่ในระยะพักฟื้น โดยสามารถทานเสริมระหว่างมื้อหรือหลังมื้ออาหารได้ นอกจากนี้ ด้วยบรรจุภัณฑ์ที่พกพาสะดวกและเก็บรักษาง่าย จึงเป็นของฝากที่เหมาะสำหรับทั้งผู้ให้และผู้รับ อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำเกี่ยวกับอาหารที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล

เลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริม Ensure Gold ที่มีสารอาหารครบถ้วนเหมาะสำหรับคนป่วย ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่อยู่ในระยะพักฟื้นได้แล้ววันนี้ที่ The Selection เรามี อุปกรณ์ผู้สูงอายุ สินค้าสําหรับผู้สูงอายุ โดยสามารถเลือกชมและสั่งซื้อสินค้าผ่านทางเว็บไซต์ของเรา พร้อมรับโปรโมชันส่วนลดพิเศษและบริการจัดส่งถึงบ้าน หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถสอบถามข้อมูลได้ที่เว็บไซต์ของเราตลอด 24 ชั่วโมง

6 เช็กลิสต์สำคัญ ! ที่ต้องเข้าใจก่อนดูแลผู้ป่วยติดเตียง

ญาติกำลังจัดการดูแลผู้ป่วยติดเตียงที่บ้าน

การดูแลผู้ป่วยติดเตียงที่บ้าน ไม่เพียงแต่ต้องใช้ความอดทนและความเข้าใจ แต่ยังต้องเตรียมตัวในหลายด้าน ตั้งแต่การจัดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมไปจนถึงการเรียนรู้วิธีการดูแลอย่างถูกต้อง หากคุณต้องเริ่มต้นดูแลผู้ป่วยติดเตียง นี่คือ 6 เช็กลิสต์สำคัญที่คุณควรรู้เอาไว้ เพื่อให้การดูแลมีประสิทธิภาพและปลอดภัยสูงสุด

ญาติกำลังจัดการดูแลผู้ป่วยติดเตียงที่บ้าน

1. สำรวจก่อนว่าผู้ป่วยติดเตียงอยู่ในกลุ่มใด

ก่อนเริ่มต้นวิธีดูแลผู้ป่วยติดเตียง ควรประเมินความสามารถในการช่วยเหลือตัวเองของผู้ป่วยเสียก่อน เพื่อวางแผนการดูแลที่เหมาะสมที่สุด อีกทั้งการแบ่งกลุ่มตามลักษณะอาการยังจะช่วยให้เข้าใจความต้องการเฉพาะของผู้ป่วยได้ชัดเจนขึ้น

  • กลุ่มสีเขียว: ผู้ป่วยที่ยังสามารถช่วยเหลือตัวเองได้บางส่วน เช่น สามารถเคลื่อนไหวได้เล็กน้อย หรือรับประทานอาหารเองได้บางครั้ง ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้อาจต้องการเพียงการช่วยเหลือเบื้องต้นและมีการกำกับดูแล เพื่อให้ผู้ป่วยฝึกช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง
  • กลุ่มสีเหลือง: ผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตัวเองได้น้อย เช่น การลุกขึ้นนั่ง การเปลี่ยนท่า หรือการทำกิจวัตรประจำวันที่ต้องมีผู้ช่วยเหลือตลอดเวลา
  • กลุ่มสีแดง: ผู้ป่วยที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลยและต้องการการดูแลอย่างเต็มรูปแบบ เช่น การป้อนอาหารทางสาย การเคลื่อนย้าย และการดูแลระบบทางเดินหายใจ

จะเห็นได้ว่าการแยกกลุ่มผู้ป่วยติดเตียง คือขั้นตอนเริ่มต้นที่จะช่วยให้คุณสามารถเลือกอุปกรณ์และวิธีการดูแลให้เหมาะสมกับผู้ป่วยได้

2. เตรียมอุปกรณ์พื้นฐานในการดูแล

การเตรียมอุปกรณ์ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้การดูแลผู้ป่วยติดเตียงสะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ที่สำคัญการเลือกใช้อุปกรณ์ที่ถูกต้องยังจะช่วยลดความเสี่ยงต่อสุขภาพและเพิ่มคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้ป่วย สำหรับตัวอย่างของใช้ดูแลผู้ป่วยที่บ้าน ที่สามารถนำมาปรับใช้ มีดังนี้

  • เตียงผู้ป่วยไฟฟ้า : ช่วยให้การปรับท่านอนและการย้ายตัวผู้ป่วยง่ายขึ้น ลดแรงกดดันบนร่างกายและป้องกันแผลกดทับ
  • ที่นอนโฟมกันแผลกดทับ : ลดโอกาสการเกิดแผลกดทับ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ต้องนอนในท่าเดิมเป็นเวลานาน
  • เครื่องดูดเสมหะ : สำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ช่วยลดโอกาสการเกิดการติดเชื้อในปอด

การเลือกใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมไม่เพียงช่วยอำนวยความสะดวกในการดูแลผู้ป่วย แต่ยังช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ที่อาจตามมา ดังนั้น ใครที่กำลังเริ่มต้นการดูแลผู้ป่วยติดเตียง อย่าลืมศึกษาเรื่องอุปกรณ์ที่สำคัญเอาไว้ เพื่อเลือกซื้อให้เหมาะกับการดูแล

3. วางแผนการดูแลกิจวัตรประจำวัน

การดูแลผู้ป่วยติดเตียงอย่างมีประสิทธิภาพ จะต้องอาศัยการวางแผนอย่างเป็นกิจวัตร และมีความเป็นระเบียบ อีกทั้งการวางแผนล่วงหน้ายังจะช่วยให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ป่วยได้อย่างรอบด้าน เช่น

  • การทำความสะอาดร่างกาย : ในขั้นตอนนี้จะช่วยลดการติดเชื้อ ทั้งยังเป็นการทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสดชื่น แต่ควรมีการกำหนดช่วงเวลาสำหรับการอาบน้ำหรือเช็ดตัวเอาไว้ เพื่อช่วยให้ผู้ดูแลสามารถจัดสรรเวลาในการทำสิ่งต่าง ๆ ได้คล่องตัวมากขึ้น
  • การให้อาหาร : การให้อาหารมักเป็นไปตามช่วงเวลา ทั้งเช้า กลางวัน และเย็น ซึ่งอาหารในการดูแลผู้ป่วยควรเลือกที่เหมาะสมกับสุขภาพของผู้ป่วยแต่ละคนด้วย
  • การบริหารร่างกาย : การจัดตารางบริหารร่างกายให้แก่ผู้ป่วย มีส่วนช่วยฟื้นฟูร่างกายในด้านต่าง ๆ เช่น การยืดกล้ามเนื้อ จะช่วยลดการยึดติดของกล้ามเนื้อของผู้ป่วย
  • การจัดการแผลกดทับ : ควรตรวจสอบสภาพผิวหนังผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอ และใช้ครีมหรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เหมาะสม

4. เรียนรู้เทคนิคการดูแลจากแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ

เพื่อให้การดูแลผู้ป่วยติดเตียงเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัย ควรเรียนรู้เทคนิคเฉพาะทางจากผู้เชี่ยวชาญ ที่สำคัญการมีความรู้ที่ถูกต้องจะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มความมั่นใจในการดูแล

  • การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยอย่างปลอดภัย : ใช้เทคนิคที่ช่วยลดแรงต้านและป้องกันการบาดเจ็บทั้งผู้ป่วยและผู้ดูแล
  • การป้อนอาหารทางสายยาง : เรียนรู้วิธีการทำอย่างถูกต้อง รวมถึงการดูแลระบบทางเดินอาหารเพื่อลดปัญหาแทรกซ้อน
  • การดูแลระบบทางเดินหายใจ : เทคนิคการดูดเสมหะหรือการช่วยเหลือในกรณีที่ผู้ป่วยหายใจติดขัด

5. ประสานงานกับทีมแพทย์อย่างต่อเนื่อง

ผู้ช่วยพยาบาลกำลังดูแลผู้ป่วยติดเตียงที่บ้าน

ทีมแพทย์มีบทบาทสำคัญต่อการดูแลผู้ป่วยติดเตียงให้เป็นไปอย่างราบรื่น เพราะฉะนั้น ผู้ดูแลควรติดต่อประสานงานกับผู้เชี่ยวชาญอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ป่วยจะได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง

  • การตรวจสุขภาพประจำ : ช่วยตรวจสอบภาวะสุขภาพและป้องกันโรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
  • การปรึกษาเรื่องการใช้ยา : ตรวจสอบปริมาณและผลข้างเคียงของยาเพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพ
  • การวางแผนการรักษา : การมีแผนรักษาที่ชัดเจนจะช่วยลดความสับสนและเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ดูแล

6. การดูแลสุขภาพจิตของทั้งผู้ป่วยและผู้ดูแล

การดูแลผู้ป่วยติดเตียงอาจทำให้เกิดความเครียดทั้งต่อตัวผู้ป่วยและผู้ดูแล การใส่ใจเรื่องสุขภาพจิตจะช่วยสร้างความสมดุล ทั้งยังส่งผลดีต่อการดูแลผู้ป่วยในแต่ละวัน โดยสามารถทำได้หลากหลายวิธี เช่น

  • การพูดคุยสร้างกำลังใจ : การให้กำลังใจและการพูดคุยที่ดีจะช่วยเสริมความมั่นใจให้ผู้ป่วย
  • การลดความเครียดของผู้ดูแล : หาเวลาพักผ่อน อาจขอความช่วยเหลือจากครอบครัว หรือผู้ดูแลคนอื่น ๆ เพื่อไม่ให้เกิดภาวะเหนื่อยล้าจากการดูแล
  • การเข้ากลุ่มสนับสนุน : การเข้าร่วมกลุ่มผู้ดูแลผู้ป่วย เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และรับคำแนะนำในด้านที่เป็นประโยชน์ ที่สามารถนำมาปรับใช้กับการดูแลผู้ป่วยได้

การดูแลผู้ป่วยติดเตียงมีความซับซ้อน ต้องอาศัยทั้งความรู้ ความอดทน และการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญและคนรอบข้าง เพื่อให้การดูแลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและผู้ป่วยได้รับความสบายใจสูงสุด

หากคุณกำลังมองหาอุปกรณ์และของใช้ดูแลผู้ป่วยที่บ้านคุณภาพสูง เช่น เตียงผู้ป่วยไฟฟ้าและที่นอนกันแผลกดทับ สามารถเลือกซื้อได้ที่ The Selection แพลตฟอร์มสำหรับคนยุคใหม่ที่ตอบโจทย์คนรักสุขภาพ พร้อมมีดีลส่วนลดพิเศษที่ช่วยให้คุณดูแลสุขภาพได้ครบถ้วนในราคาที่คุ้มค่า สนใจดูข้อมูลสินค้าหรือสั่งซื้อของใช้ผู้ป่วยติดเตียงได้เลยที่ https://www.theselectionth.com/shop/

 

แหล่งข้อมูล

11 วิตามินและอาหารเสริมสำคัญที่ควรกินในชีวิตประจำวัน

ผู้หญิงกำลังเทวิตามินและอาหารเสริมที่ควรกินลงบนมือ

การใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบในทุกวันนี้ อาจทำให้เราละเลยการดูแลสุขภาพไป โดยเฉพาะในเรื่องของการกินอาหารที่ไม่เป็นเวลา รวมไปถึงการเลือกอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ด้วยเหตุนี้ ผลิตภัณฑ์วิตามินที่มีอยู่ในท้องตลาดจึงกลายเป็นตัวช่วยสำคัญในการเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรงของคนยุคใหม่ อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะเลือกผลิตภัณฑ์วิตามินใด ๆ มาช่วยเสริมเรื่องสุขภาพก็ตาม เราควรรู้ถึงอาหารเสริมที่ควรกิน และวิธีการกินที่ถูกต้องเสียก่อน ทั้งนี้เพราะวิตามินแต่ละชนิดตอบโจทย์การดูแลสุขภาพที่แตกต่างกันออกไป

ผู้หญิงกำลังเทวิตามินและอาหารเสริมที่ควรกินลงบนมือ

ทำไมต้องกินวิตามินหรืออาหารเสริม ?

เหตุผลสำคัญที่เราควรกินวิตามินมีดังนี้

  • ชดเชยปริมาณสารอาหารที่ขาดหายไป
    การกินวิตามินช่วยชดเชยสารอาหารที่ร่างกายไม่ได้รับอย่างเพียงพอ เพราะในแต่ละวันเรามักเลือกกินตามความสะดวกมากกว่าคุณค่าทางโภชนาการ ดังนั้น วิตามินจึงเป็นตัวช่วยที่เข้ามาเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปนี้
  • เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
    นอกเหนือจากนั้น วิตามินยังช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ทั้งนี้เพราะวิตามินหลายชนิดมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งไม่เพียงช่วยปกป้องเซลล์จากการถูกทำลายเท่านั้น แต่ยังทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้นด้วย
  • ชะลอความเสื่อมของเซลล์
    ในขณะเดียวกัน วิตามินบางชนิดยังช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย ด้วยการต่อสู้กับอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุให้เซลล์เสื่อมเร็วขึ้น ทำให้เซลล์ต่าง ๆ ยังคงแข็งแรงและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • บำรุงและกระตุ้นการทำงานของสมอง
    ประโยชน์สำคัญที่ไม่แพ้เรื่องอื่น ๆ คือ การรับประทานวิตามินมีส่วนช่วยเรื่องสมองและอารมณ์ เนื่องจากสารอาหารบางอย่างจำเป็นต่อการสร้างสารสื่อประสาทที่ควบคุมอารมณ์ ซึ่งจะช่วยให้เรารู้สึกสดชื่น และทำให้สมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

 

กินวิตามินอะไรดี ? แนะนำ 11 วิตามินและอาหารเสริมที่ควรกินทุกวัน

การเลือกวิตามินและอาหารเสริมที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญในการดูแลสุขภาพ สำหรับวิตามินแนะนำที่อยากให้กินเสริมในชีวิตประจำวันมีดังนี้

1. วิตามินซี (Vitamin C)

เริ่มต้นด้วยวิตามินซี ซึ่งเป็นวิตามินที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับเป็นประจำทุกวัน เนื่องจากช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง โดยเฉพาะในช่วงที่มีความเครียดหรือพักผ่อนไม่เพียงพอ นอกจากนี้ วิตามินซียังจำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจนที่ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส ทั้งยังช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีขึ้นด้วย

2. วิตามินดี (Vitamin D)

ในขณะเดียวกัน วิตามินดีก็มีบทบาทสำคัญต่อการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างและบำรุงกระดูกให้แข็งแรง อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และสำคัญเป็นพิเศษสำหรับผู้ที่ไม่ค่อยได้เจอกับแสงแดด นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยที่พบว่าวิตามินดีอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุนและภาวะซึมเศร้าได้อีกด้วย

3. วิตามินบีรวม (Vitamin B Complex)

วิตามินบีรวม ประกอบด้วยวิตามินบีหลายชนิดที่ทำงานร่วมกัน โดยช่วยในการทำงานของระบบประสาทและสมอง ทั้งยังมีบทบาทสำคัญในการเผาผลาญพลังงานจากอาหารที่เรารับประทาน ส่งผลให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าและมีพลังในการทำกิจกรรมต่าง ๆ

4. วิตามินอี (Vitamin E)

วิตามินอี คือสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงในการชะลอความเสื่อมของเซลล์ โดยจะช่วยปกป้องเซลล์จากการถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระ ทั้งยังช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งและชะลอริ้วรอยก่อนวัยอันควร นอกจากนี้ วิตามินอียังช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และยังช่วยเรื่องการไหลเวียนของเลือด ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด

5. วิตามินเอ (Vitamin A)

วิตามินเอ มีความสำคัญอย่างมากต่อการบำรุงสายตาและการมองเห็น โดยเฉพาะการมองเห็นในที่มืด อีกทั้งยังช่วยบำรุงผิวหนังและเยื่อบุต่าง ๆ ในร่างกายให้แข็งแรง ที่สำคัญไปกว่านั้น วิตามินเอยังมีบทบาทสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง และยังช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายด้วย

6. วิตามินเค (Vitamin K)

อีกหนึ่งวิตามินสำคัญคือ วิตามินเค ที่มีบทบาทสำคัญต่อการแข็งตัวของเลือด จึงช่วยป้องกันภาวะเลือดออกผิดปกติ นอกจากนี้ ยังมีส่วนสำคัญในการสร้างกระดูกและการทำงานของระบบหัวใจ ที่น่าสนใจคือ วิตามินเคยังช่วยดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่กระดูก ซึ่งช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้อีกทางหนึ่ง

7. โอเมก้า-3 (Fish Oil)

เมื่อพูดถึงไขมันที่ดีต่อสุขภาพ คงจะต้องรวมกรดไขมันโอเมก้า-3 เอาไว้ด้วย โดยเฉพาะ EPA และ DHA นับเป็นไขมันที่มีประโยชน์อย่างมาก โดยจะช่วยลดระดับไขมันในเลือดและความเสี่ยงของโรคหัวใจ อีกทั้งยังช่วยพัฒนาความจำและการทำงานของสมอง นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติในการลดการอักเสบในร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเรื้อรังหลายชนิด

8. แคลเซียม (Calcium)

เมื่อพูดถึงแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย แคลเซียมเป็นแร่ธาตุสำคัญที่เราควรได้รับอย่างเพียงพอ เพราะไม่เพียงช่วยสร้างและบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรงเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาทด้วย ที่สำคัญแคลเซียมยังช่วยให้เลือดแข็งตัวได้ดี พร้อมกับช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจ และยังมีส่วนช่วยในการผลิตฮอร์โมนบางชนิด ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลดีต่อการทำงานของร่างกายโดยรวม

9. แมกนีเซียม (Magnesium)

แมกนีเซียมจะช่วยลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อและความเครียด จึงทำให้นอนหลับสบายและพักผ่อนได้อย่างมีคุณภาพ รวมถึงแมกนีเซียมยังมีบทบาทสำคัญในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมและวิตามินดีได้ดีขึ้นด้วย

10. โพรไบโอติก (Probiotics)

สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องระบบย่อยอาหารหรือต้องทานยาปฏิชีวนะบ่อย ๆ โพรไบโอติกนับเป็นอาหารเสริมที่มีประโยชน์ เนื่องจากช่วยรักษาสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น ทั้งยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และกระตุ้นให้ร่างกายดูดซึมแร่ธาตุให้ดีขึ้นอีกด้วย

11. ซิงค์ (Zinc)

ซิงค์ เป็นแร่ธาตุที่มีความสำคัญต่อการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน โดยจะช่วยกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาวในการต่อสู้กับเชื้อโรค อีกทั้งยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างโปรตีนและคอลลาเจนที่จำเป็นต่อร่างกาย รวมถึงช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยรักษาสมดุลของฮอร์โมนในร่างกายอีกด้วย

 

ปริมาณที่เหมาะสมในการกินวิตามินและอาหารเสริม

แม้ว่าวิตามินและอาหารเสริมแต่ละชนิดจะมีประโยชน์ต่อร่างกายในหลายด้านก็ตาม แต่การกินให้ได้ผลดีที่สุด จำเป็นต้องใส่ใจถึงปริมาณที่เหมาะสมด้วย เนื่องจากปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันจะแตกต่างกันไป ซึ่งขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งอายุ เพศ สภาพร่างกาย และความต้องการเฉพาะของแต่ละคน ดังนั้น จึงควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับตนเอง

ข้อควรระวังในการกินวิตามินและอาหารเสริม

นอกจากการรู้จักเลือกชนิดและปริมาณที่เหมาะสมแล้ว การกินวิตามินและอาหารเสริมให้ปลอดภัยยังมีสิ่งที่ต้องระวังอีกหลายข้อ ดังนี้

  • การกินวิตามินในปริมาณมากเกินไป
    การได้รับวิตามินมากเกินความจำเป็นอาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้ เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงต่าง ๆ เช่น อาการท้องเสีย คลื่นไส้และอาเจียน ผื่นคันตามผิวหนัง หรือเกิดปฏิกิริยาไม่พึงประสงค์กับยาชนิดอื่น ๆ ดังนั้น จึงควรกินในปริมาณที่เหมาะสมตามคำแนะนำของแพทย์หรือตามที่ฉลากของผลิตภัณฑ์ระบุไว้การกินวิตามินเสริมควบคู่กับยา
  • การรับประทานวิตามินพร้อมกับยาอื่น ๆ
    อาจทำให้เกิดปฏิกิริยาที่ไม่พึงประสงค์ได้ ดังนั้น ควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งเกี่ยวกับวิตามินที่กินอยู่ พร้อมทั้งสังเกตอาการผิดปกติเมื่อต้องกินวิตามินร่วมกับยา และที่สำคัญควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนเริ่มกินวิตามินชนิดใหม่เสมอ
  • การเลือกผลิตภัณฑ์
    การเลือกผลิตภัณฑ์วิตามินและอาหารเสริมที่มีคุณภาพเป็นสิ่งสำคัญ โดยควรตรวจสอบเครื่องหมายรับรองจากองค์การอาหารและยา และเลือกซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ อีกทั้งยังต้องสังเกตวันหมดอายุ รวมถึงสภาพของบรรจุภัณฑ์ว่าอยู่ในสภาพสมบูรณ์ก่อนเลือกซื้อทุกครั้ง

ผู้หญิงกำลังเทวิตามินและอาหารเสริมที่ควรกินทุกวันจากขวดลงบนมือ

สำหรับคนที่ไม่แน่ใจว่าอาหารเสริมเพื่อสุขภาพที่ตัวเองควรกินมีอะไรบ้าง และกำลังมองหาวิตามินและแร่ธาตุที่ดีต่อร่างกาย แนะนำให้มาเลือกซื้อได้ที่ The Selection แพลตฟอร์มสำหรับคนยุคใหม่ที่ตอบโจทย์คนรักสุขภาพ โดยที่นี่มีทั้งอาหารเพื่อสุขภาพ ขนมเพื่อสุขภาพ และวิตามินบำรุงร่างกาย อีกทั้งทุกผลิตภัณฑ์ยังผ่านการคัดเลือกจากบุคลากรทางการแพทย์มาแล้ว พร้อมดีลส่วนลดพิเศษที่ช่วยให้คุณดูแลสุขภาพได้ครบถ้วนในราคาที่คุ้มค่า สนใจดูข้อมูลสินค้าหรือสั่งซื้อได้เลยที่ https://www.theselectionth.com/shop/

 

ข้อมูลอ้างอิง

 

ผิวแตกหน้าหนาว : วิธีแก้ไขและป้องกันง่าย ๆ

ลักษณะผิวแห้งลอกเป็นขุย ที่มักพบในช่วงหน้าหนาว

เมื่อลมหนาวมาทีไร หลาย ๆ คนมักต้องเผชิญกับปัญหาผิวแห้งคันและลอกเป็นขุย โดยเฉพาะในฤดูหนาวที่สภาพอากาศเย็นและแห้ง ส่งผลให้ผิวขาดความชุ่มชื้น ยิ่งถ้าหากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่ปัญหาผิวอื่น ๆ ตามมาได้ เช่น อาการคัน ระคายเคือง หรือแม้แต่ผิวแตกจนเลือดออก เพื่อช่วยให้คุณดูแลผิวได้อย่างถูกวิธี เราขอชวนมาทำความเข้าใจถึงสาเหตุของอาการผิวแห้งลอกเป็นขุย และวิธีป้องกันในช่วงหน้าหนาวให้ผิวกลับมานุ่มชุ่มชื้นและมีสุขภาพดีอีกครั้ง

ลักษณะผิวแห้งลอกเป็นขุย ที่มักพบในช่วงหน้าหนาว

ปัญหาผิวแห้งลอกเป็นขุย

ภาวะที่ผิวมีลักษณะแห้งตึง แตกเป็นร่อง และลอกเป็นขุย เกิดจากการเสียสมดุลของสารสร้างความชุ่มชื้นในชั้นผิว ทำให้ต่อมไขมันใต้ผิวหนังผลิตน้ำมันออกมาน้อยกว่าปกติ ส่งผลให้ผิวไม่สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นได้อย่างเพียงพอ นอกจากนี้ ปัญหาผิวแห้งยังอาจทำให้เกิดอาการคันและระคายเคืองได้อีกด้วย

สาเหตุที่ทำให้ผิวแห้งลอกเป็นขุย

  • การขาดน้ำและความชุ่มชื้นในชั้นผิว : การดื่มน้ำไม่เพียงพอจะทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นจากภายใน
  • สภาพอากาศหนาวและแห้ง : ฤดูหนาวมีความชื้นในอากาศต่ำ ทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย
  • การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำลายน้ำมันธรรมชาติบนผิว : สบู่หรือครีมที่มีสารเคมีรุนแรงอาจขจัดน้ำมันตามธรรมชาติออกจากผิวหนัง
  • ปัญหาสุขภาพ : เช่น โรคผิวหนังแห้งหรือภูมิแพ้ ที่ส่งผลให้ผิวหนังแห้งมากกว่าปกติ

อาการที่ควรสังเกต

  • ผิวตึง แห้งกร้าน จนสามารถมองเห็นรอยเส้นบนผิวได้
  • ผิวแห้งและลอกเป็นขุย
  • ผิวคันและระคายเคือง
  • ผิวแตกและเลือดออกในกรณีที่ไม่ได้รับการดูแล

การสังเกตอาการเหล่านี้ จะช่วยให้สามารถแก้ปัญหาผิวแตกหน้าหนาวได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้อาการรุนแรงขึ้น

 

วิธีแก้ผิวแห้งคัน เป็นขุยในช่วงหน้าหนาว

การดูแลผิวในช่วงฤดูหนาวจำเป็นต้องใช้ทั้งผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม ควบคู่ไปกับการปรับพฤติกรรมการดูแลผิว เพื่อปกป้องผิวจากความแห้งตึงและคงความชุ่มชื้นเอาไว้

การบำรุงผิวด้วยมอยส์เชอไรเซอร์

  • เลือกใช้มอยส์เชอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมให้ความชุ่มชื้นสูง : ใช้ครีมที่มีส่วนผสมของเซราไมด์ หรือเชียบัตเตอร์ เนื่องจากช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว
  • ทามอยส์เชอไรเซอร์ทันทีหลังอาบน้ำ : เพื่อช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นในชั้นผิวขณะที่ผิวยังชื้นอยู่

การปรับพฤติกรรมการดูแลผิว

  • หลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อน : การอาบน้ำอุ่นจะช่วยให้รู้สึกสบายในช่วงหน้าหนาว แต่ควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำที่ร้อนเกินไป เพราะจะทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย
  • ใช้สบู่หรือคลีนเซอร์ที่อ่อนโยน : เลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ปราศจากน้ำหอมและสารเคมีที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง เพื่อป้องกันการเกิดผิวแห้ง รวมถึงปัญหาผิวอื่น ๆ ที่อาจตามมา
  • สวมใส่เสื้อผ้าที่ช่วยปกป้องผิว : เลือกเสื้อผ้าที่ทำจากผ้าฝ้ายหรือผ้าที่ไม่ทำให้รู้สึกระคายเคือง และควรใส่ถุงมือหรือผ้าพันคอเพื่อป้องกันอากาศแห้งหากต้องเจอกับอากาศที่หนาวจัด
  • ดื่มน้ำอย่างเพียงพอ : แม้อากาศจะเย็น แต่ร่างกายยังต้องการน้ำเพื่อรักษาสมดุลความชุ่มชื้น จึงควรดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้ว

ผู้หญิงที่ได้ดูแลผิวหน้าหนาว ให้ผิวชุ่มชื้น มีสุขภาพดี

เคล็ดลับดูแลผิวหน้าหนาวในระยะยาวเพื่อป้องกันผิวแห้ง

เพื่อให้ผิวยังคงความชุ่มชื้นและสุขภาพดีในระยะยาว การดูแลผิวอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญ โดยมีเคล็ดลับดูแลผิวหน้าหนาวดี ๆ ที่อยากแนะนำดังนี้

  • บำรุงผิวหน้าด้วยการมาสก์ : ใช้แผ่นมาสก์หน้าที่มีส่วนผสมของมอยส์เชอไรเซอร์หรือสารสกัดจากธรรมชาติ เช่น ว่านหางจระเข้ สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง
  • ใช้ผลิตภัณฑ์กันแดด : แม้ในฤดูหนาว แสงแดดในเมืองไทยก็ยังคงส่งผลต่อผิวของเรา จึงควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF อย่างน้อย 30 ขึ้นไป และค่า PA+++ สำหรับการปกป้องรังสียูวีเอหรือมากกว่า เพื่อให้การปกป้องผิวมีประสิทธิภาพในทุกวัน
  • ใช้ครีมบำรุงผิวตัวอย่างสม่ำเสมอ : โดยควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารช่วยป้องกันผิวแห้ง เช่น กรดไฮยาลูรอนิก หรือวิตามินอี เพื่อฟื้นฟูและปกป้องผิวในระยะยาว
  • หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีรุนแรง : เช่น แอลกอฮอล์ น้ำหอม และสีสังเคราะห์ เนื่องจากสามารถทำให้ผิวแห้งและระคายเคืองได้ง่าย
  • เสริมด้วยอาหารที่ช่วยบำรุงผิว : ควรเลือกรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน A, C, E และโอเมก้า 3 เช่น ผักใบเขียว ถั่ว และปลาแซลมอน เพื่อช่วยเสริมความแข็งแรงให้ผิวจากภายใน

ปัญหาผิวแห้งคันและลอกเป็นขุยในช่วงฤดูหนาวจะไม่เกิดขึ้น หากได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม บวกกับการปรับพฤติกรรมการดูแลผิว ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม และดูแลสุขภาพจากภายในอย่างการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ก็จะช่วยป้องกันปัญหาผิวเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังช่วยให้ผิวของคุณกลับมามีสุขภาพดีและเปล่งปลั่งอีกครั้งไม่ว่าจะฤดูไหน ๆ

สามารถติดตามเกร็ดความรู้สั้น ๆ เกี่ยวกับสุขภาพที่น่าสนใจเหล่านี้ได้ที่ The Selection แพลตฟอร์มสำหรับคนยุคใหม่ที่ตอบโจทย์คนรักสุขภาพ เรามีบทความสุขภาพอัปเดตใหม่พร้อมแนะนำผลิตภัณฑ์บำรุงผิว และสินค้าเพื่อสุขภาพต่าง ๆ พร้อมส่วนลดพิเศษเฉพาะคุณ คลิก https://www.theselectionth.com/shop/

แหล่งข้อมูล