6 เช็กลิสต์สำคัญ ! ที่ต้องเข้าใจก่อนดูแลผู้ป่วยติดเตียง

ญาติกำลังจัดการดูแลผู้ป่วยติดเตียงที่บ้าน

การดูแลผู้ป่วยติดเตียงที่บ้าน ไม่เพียงแต่ต้องใช้ความอดทนและความเข้าใจ แต่ยังต้องเตรียมตัวในหลายด้าน ตั้งแต่การจัดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมไปจนถึงการเรียนรู้วิธีการดูแลอย่างถูกต้อง หากคุณต้องเริ่มต้นดูแลผู้ป่วยติดเตียง นี่คือ 6 เช็กลิสต์สำคัญที่คุณควรรู้เอาไว้ เพื่อให้การดูแลมีประสิทธิภาพและปลอดภัยสูงสุด

ญาติกำลังจัดการดูแลผู้ป่วยติดเตียงที่บ้าน

1. สำรวจก่อนว่าผู้ป่วยติดเตียงอยู่ในกลุ่มใด

ก่อนเริ่มต้นวิธีดูแลผู้ป่วยติดเตียง ควรประเมินความสามารถในการช่วยเหลือตัวเองของผู้ป่วยเสียก่อน เพื่อวางแผนการดูแลที่เหมาะสมที่สุด อีกทั้งการแบ่งกลุ่มตามลักษณะอาการยังจะช่วยให้เข้าใจความต้องการเฉพาะของผู้ป่วยได้ชัดเจนขึ้น

  • กลุ่มสีเขียว: ผู้ป่วยที่ยังสามารถช่วยเหลือตัวเองได้บางส่วน เช่น สามารถเคลื่อนไหวได้เล็กน้อย หรือรับประทานอาหารเองได้บางครั้ง ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้อาจต้องการเพียงการช่วยเหลือเบื้องต้นและมีการกำกับดูแล เพื่อให้ผู้ป่วยฝึกช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง
  • กลุ่มสีเหลือง: ผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตัวเองได้น้อย เช่น การลุกขึ้นนั่ง การเปลี่ยนท่า หรือการทำกิจวัตรประจำวันที่ต้องมีผู้ช่วยเหลือตลอดเวลา
  • กลุ่มสีแดง: ผู้ป่วยที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลยและต้องการการดูแลอย่างเต็มรูปแบบ เช่น การป้อนอาหารทางสาย การเคลื่อนย้าย และการดูแลระบบทางเดินหายใจ

จะเห็นได้ว่าการแยกกลุ่มผู้ป่วยติดเตียง คือขั้นตอนเริ่มต้นที่จะช่วยให้คุณสามารถเลือกอุปกรณ์และวิธีการดูแลให้เหมาะสมกับผู้ป่วยได้

2. เตรียมอุปกรณ์พื้นฐานในการดูแล

การเตรียมอุปกรณ์ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้การดูแลผู้ป่วยติดเตียงสะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ที่สำคัญการเลือกใช้อุปกรณ์ที่ถูกต้องยังจะช่วยลดความเสี่ยงต่อสุขภาพและเพิ่มคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้ป่วย สำหรับตัวอย่างของใช้ดูแลผู้ป่วยที่บ้าน ที่สามารถนำมาปรับใช้ มีดังนี้

  • เตียงผู้ป่วยไฟฟ้า : ช่วยให้การปรับท่านอนและการย้ายตัวผู้ป่วยง่ายขึ้น ลดแรงกดดันบนร่างกายและป้องกันแผลกดทับ
  • ที่นอนโฟมกันแผลกดทับ : ลดโอกาสการเกิดแผลกดทับ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ต้องนอนในท่าเดิมเป็นเวลานาน
  • เครื่องดูดเสมหะ : สำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ช่วยลดโอกาสการเกิดการติดเชื้อในปอด

การเลือกใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมไม่เพียงช่วยอำนวยความสะดวกในการดูแลผู้ป่วย แต่ยังช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ที่อาจตามมา ดังนั้น ใครที่กำลังเริ่มต้นการดูแลผู้ป่วยติดเตียง อย่าลืมศึกษาเรื่องอุปกรณ์ที่สำคัญเอาไว้ เพื่อเลือกซื้อให้เหมาะกับการดูแล

3. วางแผนการดูแลกิจวัตรประจำวัน

การดูแลผู้ป่วยติดเตียงอย่างมีประสิทธิภาพ จะต้องอาศัยการวางแผนอย่างเป็นกิจวัตร และมีความเป็นระเบียบ อีกทั้งการวางแผนล่วงหน้ายังจะช่วยให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ป่วยได้อย่างรอบด้าน เช่น

  • การทำความสะอาดร่างกาย : ในขั้นตอนนี้จะช่วยลดการติดเชื้อ ทั้งยังเป็นการทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสดชื่น แต่ควรมีการกำหนดช่วงเวลาสำหรับการอาบน้ำหรือเช็ดตัวเอาไว้ เพื่อช่วยให้ผู้ดูแลสามารถจัดสรรเวลาในการทำสิ่งต่าง ๆ ได้คล่องตัวมากขึ้น
  • การให้อาหาร : การให้อาหารมักเป็นไปตามช่วงเวลา ทั้งเช้า กลางวัน และเย็น ซึ่งอาหารในการดูแลผู้ป่วยควรเลือกที่เหมาะสมกับสุขภาพของผู้ป่วยแต่ละคนด้วย
  • การบริหารร่างกาย : การจัดตารางบริหารร่างกายให้แก่ผู้ป่วย มีส่วนช่วยฟื้นฟูร่างกายในด้านต่าง ๆ เช่น การยืดกล้ามเนื้อ จะช่วยลดการยึดติดของกล้ามเนื้อของผู้ป่วย
  • การจัดการแผลกดทับ : ควรตรวจสอบสภาพผิวหนังผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอ และใช้ครีมหรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เหมาะสม

4. เรียนรู้เทคนิคการดูแลจากแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ

เพื่อให้การดูแลผู้ป่วยติดเตียงเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัย ควรเรียนรู้เทคนิคเฉพาะทางจากผู้เชี่ยวชาญ ที่สำคัญการมีความรู้ที่ถูกต้องจะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มความมั่นใจในการดูแล

  • การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยอย่างปลอดภัย : ใช้เทคนิคที่ช่วยลดแรงต้านและป้องกันการบาดเจ็บทั้งผู้ป่วยและผู้ดูแล
  • การป้อนอาหารทางสายยาง : เรียนรู้วิธีการทำอย่างถูกต้อง รวมถึงการดูแลระบบทางเดินอาหารเพื่อลดปัญหาแทรกซ้อน
  • การดูแลระบบทางเดินหายใจ : เทคนิคการดูดเสมหะหรือการช่วยเหลือในกรณีที่ผู้ป่วยหายใจติดขัด

5. ประสานงานกับทีมแพทย์อย่างต่อเนื่อง

ผู้ช่วยพยาบาลกำลังดูแลผู้ป่วยติดเตียงที่บ้าน

ทีมแพทย์มีบทบาทสำคัญต่อการดูแลผู้ป่วยติดเตียงให้เป็นไปอย่างราบรื่น เพราะฉะนั้น ผู้ดูแลควรติดต่อประสานงานกับผู้เชี่ยวชาญอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ป่วยจะได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง

  • การตรวจสุขภาพประจำ : ช่วยตรวจสอบภาวะสุขภาพและป้องกันโรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
  • การปรึกษาเรื่องการใช้ยา : ตรวจสอบปริมาณและผลข้างเคียงของยาเพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพ
  • การวางแผนการรักษา : การมีแผนรักษาที่ชัดเจนจะช่วยลดความสับสนและเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ดูแล

6. การดูแลสุขภาพจิตของทั้งผู้ป่วยและผู้ดูแล

การดูแลผู้ป่วยติดเตียงอาจทำให้เกิดความเครียดทั้งต่อตัวผู้ป่วยและผู้ดูแล การใส่ใจเรื่องสุขภาพจิตจะช่วยสร้างความสมดุล ทั้งยังส่งผลดีต่อการดูแลผู้ป่วยในแต่ละวัน โดยสามารถทำได้หลากหลายวิธี เช่น

  • การพูดคุยสร้างกำลังใจ : การให้กำลังใจและการพูดคุยที่ดีจะช่วยเสริมความมั่นใจให้ผู้ป่วย
  • การลดความเครียดของผู้ดูแล : หาเวลาพักผ่อน อาจขอความช่วยเหลือจากครอบครัว หรือผู้ดูแลคนอื่น ๆ เพื่อไม่ให้เกิดภาวะเหนื่อยล้าจากการดูแล
  • การเข้ากลุ่มสนับสนุน : การเข้าร่วมกลุ่มผู้ดูแลผู้ป่วย เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และรับคำแนะนำในด้านที่เป็นประโยชน์ ที่สามารถนำมาปรับใช้กับการดูแลผู้ป่วยได้

การดูแลผู้ป่วยติดเตียงมีความซับซ้อน ต้องอาศัยทั้งความรู้ ความอดทน และการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญและคนรอบข้าง เพื่อให้การดูแลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและผู้ป่วยได้รับความสบายใจสูงสุด

หากคุณกำลังมองหาอุปกรณ์และของใช้ดูแลผู้ป่วยที่บ้านคุณภาพสูง เช่น เตียงผู้ป่วยไฟฟ้าและที่นอนกันแผลกดทับ สามารถเลือกซื้อได้ที่ The Selection แพลตฟอร์มสำหรับคนยุคใหม่ที่ตอบโจทย์คนรักสุขภาพ พร้อมมีดีลส่วนลดพิเศษที่ช่วยให้คุณดูแลสุขภาพได้ครบถ้วนในราคาที่คุ้มค่า สนใจดูข้อมูลสินค้าหรือสั่งซื้อของใช้ผู้ป่วยติดเตียงได้เลยที่ https://www.theselectionth.com/shop/

 

แหล่งข้อมูล

11 วิตามินและอาหารเสริมสำคัญที่ควรกินในชีวิตประจำวัน

ผู้หญิงกำลังเทวิตามินและอาหารเสริมที่ควรกินลงบนมือ

การใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบในทุกวันนี้ อาจทำให้เราละเลยการดูแลสุขภาพไป โดยเฉพาะในเรื่องของการกินอาหารที่ไม่เป็นเวลา รวมไปถึงการเลือกอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ด้วยเหตุนี้ ผลิตภัณฑ์วิตามินที่มีอยู่ในท้องตลาดจึงกลายเป็นตัวช่วยสำคัญในการเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรงของคนยุคใหม่ อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะเลือกผลิตภัณฑ์วิตามินใด ๆ มาช่วยเสริมเรื่องสุขภาพก็ตาม เราควรรู้ถึงอาหารเสริมที่ควรกิน และวิธีการกินที่ถูกต้องเสียก่อน ทั้งนี้เพราะวิตามินแต่ละชนิดตอบโจทย์การดูแลสุขภาพที่แตกต่างกันออกไป

ผู้หญิงกำลังเทวิตามินและอาหารเสริมที่ควรกินลงบนมือ

ทำไมต้องกินวิตามินหรืออาหารเสริม ?

เหตุผลสำคัญที่เราควรกินวิตามินมีดังนี้

  • ชดเชยปริมาณสารอาหารที่ขาดหายไป
    การกินวิตามินช่วยชดเชยสารอาหารที่ร่างกายไม่ได้รับอย่างเพียงพอ เพราะในแต่ละวันเรามักเลือกกินตามความสะดวกมากกว่าคุณค่าทางโภชนาการ ดังนั้น วิตามินจึงเป็นตัวช่วยที่เข้ามาเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปนี้
  • เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
    นอกเหนือจากนั้น วิตามินยังช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ทั้งนี้เพราะวิตามินหลายชนิดมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งไม่เพียงช่วยปกป้องเซลล์จากการถูกทำลายเท่านั้น แต่ยังทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้นด้วย
  • ชะลอความเสื่อมของเซลล์
    ในขณะเดียวกัน วิตามินบางชนิดยังช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย ด้วยการต่อสู้กับอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุให้เซลล์เสื่อมเร็วขึ้น ทำให้เซลล์ต่าง ๆ ยังคงแข็งแรงและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • บำรุงและกระตุ้นการทำงานของสมอง
    ประโยชน์สำคัญที่ไม่แพ้เรื่องอื่น ๆ คือ การรับประทานวิตามินมีส่วนช่วยเรื่องสมองและอารมณ์ เนื่องจากสารอาหารบางอย่างจำเป็นต่อการสร้างสารสื่อประสาทที่ควบคุมอารมณ์ ซึ่งจะช่วยให้เรารู้สึกสดชื่น และทำให้สมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

 

กินวิตามินอะไรดี ? แนะนำ 11 วิตามินและอาหารเสริมที่ควรกินทุกวัน

การเลือกวิตามินและอาหารเสริมที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญในการดูแลสุขภาพ สำหรับวิตามินแนะนำที่อยากให้กินเสริมในชีวิตประจำวันมีดังนี้

1. วิตามินซี (Vitamin C)

เริ่มต้นด้วยวิตามินซี ซึ่งเป็นวิตามินที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับเป็นประจำทุกวัน เนื่องจากช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง โดยเฉพาะในช่วงที่มีความเครียดหรือพักผ่อนไม่เพียงพอ นอกจากนี้ วิตามินซียังจำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจนที่ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส ทั้งยังช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีขึ้นด้วย

2. วิตามินดี (Vitamin D)

ในขณะเดียวกัน วิตามินดีก็มีบทบาทสำคัญต่อการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างและบำรุงกระดูกให้แข็งแรง อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และสำคัญเป็นพิเศษสำหรับผู้ที่ไม่ค่อยได้เจอกับแสงแดด นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยที่พบว่าวิตามินดีอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุนและภาวะซึมเศร้าได้อีกด้วย

3. วิตามินบีรวม (Vitamin B Complex)

วิตามินบีรวม ประกอบด้วยวิตามินบีหลายชนิดที่ทำงานร่วมกัน โดยช่วยในการทำงานของระบบประสาทและสมอง ทั้งยังมีบทบาทสำคัญในการเผาผลาญพลังงานจากอาหารที่เรารับประทาน ส่งผลให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าและมีพลังในการทำกิจกรรมต่าง ๆ

4. วิตามินอี (Vitamin E)

วิตามินอี คือสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงในการชะลอความเสื่อมของเซลล์ โดยจะช่วยปกป้องเซลล์จากการถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระ ทั้งยังช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งและชะลอริ้วรอยก่อนวัยอันควร นอกจากนี้ วิตามินอียังช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และยังช่วยเรื่องการไหลเวียนของเลือด ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด

5. วิตามินเอ (Vitamin A)

วิตามินเอ มีความสำคัญอย่างมากต่อการบำรุงสายตาและการมองเห็น โดยเฉพาะการมองเห็นในที่มืด อีกทั้งยังช่วยบำรุงผิวหนังและเยื่อบุต่าง ๆ ในร่างกายให้แข็งแรง ที่สำคัญไปกว่านั้น วิตามินเอยังมีบทบาทสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง และยังช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายด้วย

6. วิตามินเค (Vitamin K)

อีกหนึ่งวิตามินสำคัญคือ วิตามินเค ที่มีบทบาทสำคัญต่อการแข็งตัวของเลือด จึงช่วยป้องกันภาวะเลือดออกผิดปกติ นอกจากนี้ ยังมีส่วนสำคัญในการสร้างกระดูกและการทำงานของระบบหัวใจ ที่น่าสนใจคือ วิตามินเคยังช่วยดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่กระดูก ซึ่งช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้อีกทางหนึ่ง

7. โอเมก้า-3 (Fish Oil)

เมื่อพูดถึงไขมันที่ดีต่อสุขภาพ คงจะต้องรวมกรดไขมันโอเมก้า-3 เอาไว้ด้วย โดยเฉพาะ EPA และ DHA นับเป็นไขมันที่มีประโยชน์อย่างมาก โดยจะช่วยลดระดับไขมันในเลือดและความเสี่ยงของโรคหัวใจ อีกทั้งยังช่วยพัฒนาความจำและการทำงานของสมอง นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติในการลดการอักเสบในร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเรื้อรังหลายชนิด

8. แคลเซียม (Calcium)

เมื่อพูดถึงแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย แคลเซียมเป็นแร่ธาตุสำคัญที่เราควรได้รับอย่างเพียงพอ เพราะไม่เพียงช่วยสร้างและบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรงเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาทด้วย ที่สำคัญแคลเซียมยังช่วยให้เลือดแข็งตัวได้ดี พร้อมกับช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจ และยังมีส่วนช่วยในการผลิตฮอร์โมนบางชนิด ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลดีต่อการทำงานของร่างกายโดยรวม

9. แมกนีเซียม (Magnesium)

แมกนีเซียมจะช่วยลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อและความเครียด จึงทำให้นอนหลับสบายและพักผ่อนได้อย่างมีคุณภาพ รวมถึงแมกนีเซียมยังมีบทบาทสำคัญในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมและวิตามินดีได้ดีขึ้นด้วย

10. โพรไบโอติก (Probiotics)

สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องระบบย่อยอาหารหรือต้องทานยาปฏิชีวนะบ่อย ๆ โพรไบโอติกนับเป็นอาหารเสริมที่มีประโยชน์ เนื่องจากช่วยรักษาสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น ทั้งยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และกระตุ้นให้ร่างกายดูดซึมแร่ธาตุให้ดีขึ้นอีกด้วย

11. ซิงค์ (Zinc)

ซิงค์ เป็นแร่ธาตุที่มีความสำคัญต่อการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน โดยจะช่วยกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาวในการต่อสู้กับเชื้อโรค อีกทั้งยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างโปรตีนและคอลลาเจนที่จำเป็นต่อร่างกาย รวมถึงช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยรักษาสมดุลของฮอร์โมนในร่างกายอีกด้วย

 

ปริมาณที่เหมาะสมในการกินวิตามินและอาหารเสริม

แม้ว่าวิตามินและอาหารเสริมแต่ละชนิดจะมีประโยชน์ต่อร่างกายในหลายด้านก็ตาม แต่การกินให้ได้ผลดีที่สุด จำเป็นต้องใส่ใจถึงปริมาณที่เหมาะสมด้วย เนื่องจากปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันจะแตกต่างกันไป ซึ่งขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งอายุ เพศ สภาพร่างกาย และความต้องการเฉพาะของแต่ละคน ดังนั้น จึงควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับตนเอง

ข้อควรระวังในการกินวิตามินและอาหารเสริม

นอกจากการรู้จักเลือกชนิดและปริมาณที่เหมาะสมแล้ว การกินวิตามินและอาหารเสริมให้ปลอดภัยยังมีสิ่งที่ต้องระวังอีกหลายข้อ ดังนี้

  • การกินวิตามินในปริมาณมากเกินไป
    การได้รับวิตามินมากเกินความจำเป็นอาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้ เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงต่าง ๆ เช่น อาการท้องเสีย คลื่นไส้และอาเจียน ผื่นคันตามผิวหนัง หรือเกิดปฏิกิริยาไม่พึงประสงค์กับยาชนิดอื่น ๆ ดังนั้น จึงควรกินในปริมาณที่เหมาะสมตามคำแนะนำของแพทย์หรือตามที่ฉลากของผลิตภัณฑ์ระบุไว้การกินวิตามินเสริมควบคู่กับยา
  • การรับประทานวิตามินพร้อมกับยาอื่น ๆ
    อาจทำให้เกิดปฏิกิริยาที่ไม่พึงประสงค์ได้ ดังนั้น ควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งเกี่ยวกับวิตามินที่กินอยู่ พร้อมทั้งสังเกตอาการผิดปกติเมื่อต้องกินวิตามินร่วมกับยา และที่สำคัญควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนเริ่มกินวิตามินชนิดใหม่เสมอ
  • การเลือกผลิตภัณฑ์
    การเลือกผลิตภัณฑ์วิตามินและอาหารเสริมที่มีคุณภาพเป็นสิ่งสำคัญ โดยควรตรวจสอบเครื่องหมายรับรองจากองค์การอาหารและยา และเลือกซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ อีกทั้งยังต้องสังเกตวันหมดอายุ รวมถึงสภาพของบรรจุภัณฑ์ว่าอยู่ในสภาพสมบูรณ์ก่อนเลือกซื้อทุกครั้ง

ผู้หญิงกำลังเทวิตามินและอาหารเสริมที่ควรกินทุกวันจากขวดลงบนมือ

สำหรับคนที่ไม่แน่ใจว่าอาหารเสริมเพื่อสุขภาพที่ตัวเองควรกินมีอะไรบ้าง และกำลังมองหาวิตามินและแร่ธาตุที่ดีต่อร่างกาย แนะนำให้มาเลือกซื้อได้ที่ The Selection แพลตฟอร์มสำหรับคนยุคใหม่ที่ตอบโจทย์คนรักสุขภาพ โดยที่นี่มีทั้งอาหารเพื่อสุขภาพ ขนมเพื่อสุขภาพ และวิตามินบำรุงร่างกาย อีกทั้งทุกผลิตภัณฑ์ยังผ่านการคัดเลือกจากบุคลากรทางการแพทย์มาแล้ว พร้อมดีลส่วนลดพิเศษที่ช่วยให้คุณดูแลสุขภาพได้ครบถ้วนในราคาที่คุ้มค่า สนใจดูข้อมูลสินค้าหรือสั่งซื้อได้เลยที่ https://www.theselectionth.com/shop/

 

ข้อมูลอ้างอิง

 

ผิวแตกหน้าหนาว : วิธีแก้ไขและป้องกันง่าย ๆ

ลักษณะผิวแห้งลอกเป็นขุย ที่มักพบในช่วงหน้าหนาว

เมื่อลมหนาวมาทีไร หลาย ๆ คนมักต้องเผชิญกับปัญหาผิวแห้งคันและลอกเป็นขุย โดยเฉพาะในฤดูหนาวที่สภาพอากาศเย็นและแห้ง ส่งผลให้ผิวขาดความชุ่มชื้น ยิ่งถ้าหากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่ปัญหาผิวอื่น ๆ ตามมาได้ เช่น อาการคัน ระคายเคือง หรือแม้แต่ผิวแตกจนเลือดออก เพื่อช่วยให้คุณดูแลผิวได้อย่างถูกวิธี เราขอชวนมาทำความเข้าใจถึงสาเหตุของอาการผิวแห้งลอกเป็นขุย และวิธีป้องกันในช่วงหน้าหนาวให้ผิวกลับมานุ่มชุ่มชื้นและมีสุขภาพดีอีกครั้ง

ลักษณะผิวแห้งลอกเป็นขุย ที่มักพบในช่วงหน้าหนาว

ปัญหาผิวแห้งลอกเป็นขุย

ภาวะที่ผิวมีลักษณะแห้งตึง แตกเป็นร่อง และลอกเป็นขุย เกิดจากการเสียสมดุลของสารสร้างความชุ่มชื้นในชั้นผิว ทำให้ต่อมไขมันใต้ผิวหนังผลิตน้ำมันออกมาน้อยกว่าปกติ ส่งผลให้ผิวไม่สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นได้อย่างเพียงพอ นอกจากนี้ ปัญหาผิวแห้งยังอาจทำให้เกิดอาการคันและระคายเคืองได้อีกด้วย

สาเหตุที่ทำให้ผิวแห้งลอกเป็นขุย

  • การขาดน้ำและความชุ่มชื้นในชั้นผิว : การดื่มน้ำไม่เพียงพอจะทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นจากภายใน
  • สภาพอากาศหนาวและแห้ง : ฤดูหนาวมีความชื้นในอากาศต่ำ ทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย
  • การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำลายน้ำมันธรรมชาติบนผิว : สบู่หรือครีมที่มีสารเคมีรุนแรงอาจขจัดน้ำมันตามธรรมชาติออกจากผิวหนัง
  • ปัญหาสุขภาพ : เช่น โรคผิวหนังแห้งหรือภูมิแพ้ ที่ส่งผลให้ผิวหนังแห้งมากกว่าปกติ

อาการที่ควรสังเกต

  • ผิวตึง แห้งกร้าน จนสามารถมองเห็นรอยเส้นบนผิวได้
  • ผิวแห้งและลอกเป็นขุย
  • ผิวคันและระคายเคือง
  • ผิวแตกและเลือดออกในกรณีที่ไม่ได้รับการดูแล

การสังเกตอาการเหล่านี้ จะช่วยให้สามารถแก้ปัญหาผิวแตกหน้าหนาวได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้อาการรุนแรงขึ้น

 

วิธีแก้ผิวแห้งคัน เป็นขุยในช่วงหน้าหนาว

การดูแลผิวในช่วงฤดูหนาวจำเป็นต้องใช้ทั้งผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม ควบคู่ไปกับการปรับพฤติกรรมการดูแลผิว เพื่อปกป้องผิวจากความแห้งตึงและคงความชุ่มชื้นเอาไว้

การบำรุงผิวด้วยมอยส์เชอไรเซอร์

  • เลือกใช้มอยส์เชอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมให้ความชุ่มชื้นสูง : ใช้ครีมที่มีส่วนผสมของเซราไมด์ หรือเชียบัตเตอร์ เนื่องจากช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว
  • ทามอยส์เชอไรเซอร์ทันทีหลังอาบน้ำ : เพื่อช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นในชั้นผิวขณะที่ผิวยังชื้นอยู่

การปรับพฤติกรรมการดูแลผิว

  • หลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อน : การอาบน้ำอุ่นจะช่วยให้รู้สึกสบายในช่วงหน้าหนาว แต่ควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำที่ร้อนเกินไป เพราะจะทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย
  • ใช้สบู่หรือคลีนเซอร์ที่อ่อนโยน : เลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ปราศจากน้ำหอมและสารเคมีที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง เพื่อป้องกันการเกิดผิวแห้ง รวมถึงปัญหาผิวอื่น ๆ ที่อาจตามมา
  • สวมใส่เสื้อผ้าที่ช่วยปกป้องผิว : เลือกเสื้อผ้าที่ทำจากผ้าฝ้ายหรือผ้าที่ไม่ทำให้รู้สึกระคายเคือง และควรใส่ถุงมือหรือผ้าพันคอเพื่อป้องกันอากาศแห้งหากต้องเจอกับอากาศที่หนาวจัด
  • ดื่มน้ำอย่างเพียงพอ : แม้อากาศจะเย็น แต่ร่างกายยังต้องการน้ำเพื่อรักษาสมดุลความชุ่มชื้น จึงควรดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้ว

ผู้หญิงที่ได้ดูแลผิวหน้าหนาว ให้ผิวชุ่มชื้น มีสุขภาพดี

เคล็ดลับดูแลผิวหน้าหนาวในระยะยาวเพื่อป้องกันผิวแห้ง

เพื่อให้ผิวยังคงความชุ่มชื้นและสุขภาพดีในระยะยาว การดูแลผิวอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญ โดยมีเคล็ดลับดูแลผิวหน้าหนาวดี ๆ ที่อยากแนะนำดังนี้

  • บำรุงผิวหน้าด้วยการมาสก์ : ใช้แผ่นมาสก์หน้าที่มีส่วนผสมของมอยส์เชอไรเซอร์หรือสารสกัดจากธรรมชาติ เช่น ว่านหางจระเข้ สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง
  • ใช้ผลิตภัณฑ์กันแดด : แม้ในฤดูหนาว แสงแดดในเมืองไทยก็ยังคงส่งผลต่อผิวของเรา จึงควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF อย่างน้อย 30 ขึ้นไป และค่า PA+++ สำหรับการปกป้องรังสียูวีเอหรือมากกว่า เพื่อให้การปกป้องผิวมีประสิทธิภาพในทุกวัน
  • ใช้ครีมบำรุงผิวตัวอย่างสม่ำเสมอ : โดยควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารช่วยป้องกันผิวแห้ง เช่น กรดไฮยาลูรอนิก หรือวิตามินอี เพื่อฟื้นฟูและปกป้องผิวในระยะยาว
  • หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีรุนแรง : เช่น แอลกอฮอล์ น้ำหอม และสีสังเคราะห์ เนื่องจากสามารถทำให้ผิวแห้งและระคายเคืองได้ง่าย
  • เสริมด้วยอาหารที่ช่วยบำรุงผิว : ควรเลือกรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน A, C, E และโอเมก้า 3 เช่น ผักใบเขียว ถั่ว และปลาแซลมอน เพื่อช่วยเสริมความแข็งแรงให้ผิวจากภายใน

ปัญหาผิวแห้งคันและลอกเป็นขุยในช่วงฤดูหนาวจะไม่เกิดขึ้น หากได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม บวกกับการปรับพฤติกรรมการดูแลผิว ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม และดูแลสุขภาพจากภายในอย่างการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ก็จะช่วยป้องกันปัญหาผิวเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังช่วยให้ผิวของคุณกลับมามีสุขภาพดีและเปล่งปลั่งอีกครั้งไม่ว่าจะฤดูไหน ๆ

สามารถติดตามเกร็ดความรู้สั้น ๆ เกี่ยวกับสุขภาพที่น่าสนใจเหล่านี้ได้ที่ The Selection แพลตฟอร์มสำหรับคนยุคใหม่ที่ตอบโจทย์คนรักสุขภาพ เรามีบทความสุขภาพอัปเดตใหม่พร้อมแนะนำผลิตภัณฑ์บำรุงผิว และสินค้าเพื่อสุขภาพต่าง ๆ พร้อมส่วนลดพิเศษเฉพาะคุณ คลิก https://www.theselectionth.com/shop/

แหล่งข้อมูล

วิธีดูแลลูกน้อยตลอดการตั้งครรภ์สำหรับคุณแม่มือใหม่

คุณแม่ตั้งครรภ์มือใหม่เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์

ทันทีที่รู้ว่าตนเองตั้งครรภ์ สำหรับว่าที่คุณแม่แล้ว คงมีทั้งความสุข ความตื่นเต้น และความกังวลใจไปพร้อมกัน ดังนั้นสิ่งที่จะช่วยให้คุณแม่สามารถรับมือกับช่วงเวลาอันแสนพิเศษแต่สุดท้าทายนี้ได้ คือการทำความเข้าใจเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นตลอดการตั้งครรภ์ รวมถึงวิธีการดูแลลูกน้อยในครรภ์ให้เติบโตอย่างสมบูรณ์แข็งแรง

 

การดูแลตัวเองและลูกน้อยในแต่ละไตรมาสของการตั้งครรภ์

ไตรมาสที่ 1 ตั้งครรภ์ระยะแรก (อายุครรภ์ 1-14 สัปดาห์)

การเปลี่ยนแปลงของร่างกาย และอาการที่เกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์

  • ในช่วงตั้งครรภ์ระยะแรก การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของคุณแม่อาจยังไม่แสดงให้เห็นชัดเจน แต่อาจมีอาการดังนี้
  • น้ำหนักร่างกายยังไม่เพิ่มขึ้นมากนัก หรือเพิ่มขึ้น 1-3 กิโลกรัม
  • มีอาการแพ้ท้อง อาเจียน หรือวิงเวียนศีรษะ อ่อนเพลีย และอารมณ์แปรปรวน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
  • เต้านมขยายขึ้น รู้สึกคัดตึง และเจ็บ
  • เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย อยากนอนพัก
  • โดยอาการแพ้ท้องของแต่ละคนก็จะแตกต่างกันออกไป แต่ปกติแล้วอาการแพ้ท้องจะอยู่ที่ประมาณ 4-15 สัปดาห์

การดูแลตัวเองและลูกน้อย

  • ในช่วงนี้จะเป็นช่วงการปรับตัวเข้าสู่การเป็นคุณแม่มือใหม่ จึงควรทำใจให้สบาย พักผ่อนให้เพียงพอ และรับประทานอาหารตามความเหมาะสม แต่หากรู้สึกว่าอาการของตัวเองเริ่มผิดปกติ หรือรุนแรงเกินไปก็สามารถปรึกษาแพทย์ได้ทันที
  • อาหาร ควรรับประทานอาหารที่ย่อยง่าย รวมถึงมีโฟเลตสูง เช่น ผักใบเขียว ธัญพืช และเสริมธาตุเหล็ก
  • การฝากครรภ์ ควรไปพบแพทย์เพื่อฝากครรภ์ครั้งแรก และตรวจสุขภาพอย่างละเอียด
  • การฉีดวัคซีน ควรปรึกษาแพทย์เรื่องการรับวัคซีน เช่น วัคซีนบาดทะยัก
  • ทั้งนี้ หากมีสัญญาณผิดปกติ เช่น เลือดออกทางช่องคลอด ทางเดินปัสสาวะอักเสบ หรือปวดท้องรุนแรง ควรรีบพบแพทย์ทันที

 

ไตรมาสที่ 2 ช่วงเวลาที่ร่างกายเริ่มปรับตัว (14-27 สัปดาห์)

การเปลี่ยนแปลงของร่างกาย และอาการที่เกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์คุณแม่ตั้งครรภ์มือใหม่ จะเริ่มรู้สึกสบายขึ้น เนื่องจากช่วงแพ้ท้องผ่านพ้นไป โดยมีอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้ ดังนี้

  • รู้สึกอยากอาหารมากขึ้น อาจทำให้มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นถึง 1-1.5 กิโลกรัมต่อเดือน
  • เริ่มรู้สึกได้ว่าลูกดิ้น ในสัปดาห์ที่ 16-22
  • ใบหน้า คอ ลำตัว รักแร้ หมองคล้ำขึ้น ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
  • มีเส้นดำเป็นทางยาวกลางท้อง ตั้งแต่สะดือลงไปถึงหัวหน่าว เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
  • ตกขาว หรือมีมูกในช่องคลอด เนื่องจากการเพิ่มของระดับฮอร์โมน
  • ท้องอืด ท้องเฟ้อ และท้องผูก เนื่องจากระบบย่อยอาหารทำงานไม่เป็นปกติ
  • เป็นตะคริวบ่อย โดยเฉพาะเวลากลางคืน

การดูแลตัวเองและลูกน้อย

  • ในช่วงไตรมาสนี้คุณแม่บางคนจะเริ่มมองหาชุดคลุมท้องมาใส่ เพื่อสร้างความรู้สึกสบายตัว เพราะร่างกายเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ส่วนการดูแลตัวเองและลูกในครรภ์ มีดังนี้
  • อาหาร ควรรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยแคลเซียม เช่น
  • นมและโยเกิร์ต เพื่อเสริมสร้างกระดูกของลูก
  • ผัก ผลไม้ ที่มีกากใยสูง เพื่อป้องกันอาการท้องผูก
  • ธาตุเหล็ก จากไข่แดง ตับ และผักใบเขียว เพื่อการสร้างเม็ดเลือดให้เพียงพอ ต่อการลำเลียงสารอาหารและออกซิเจน ไปเลี้ยงลูกน้อยในครรภ์
  • การออกกำลังกาย ทำโยคะสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ หรือเดินเบา ๆ ช่วยให้คลอดง่ายขึ้น
  • ท่านอน ควรนอนตะแคงซ้ายหรือขวา สลับกับการนอนหงาย เพื่อช่วยลดแรงกดทับลงบนร่างกาย และควรใช้หมอนรองขาให้สูงขึ้น เพื่อลดอาการบวมของขา

ทั้งนี้ หากพบสัญญาณผิดปกติ เลือดออกทางช่องคลอด หรือมีอาการบวมบริเวณมือและเท้ารุนแรง หรือปวดท้องร่วมกับมีไข้ ให้รีบพบแพทย์อย่างเร่งด่วน

 

คุณแม่ตั้งครรภ์มือใหม่จัดเตรียมของใช้ทารกแรกเกิด

 

ไตรมาสที่ 3 การเตรียมพร้อมสำหรับการคลอด (28-40 สัปดาห์)

การเปลี่ยนแปลงของร่างกาย และอาการที่เกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์

  • ช่วงนี้รูปร่างของคุณแม่ตั้งครรภ์มือใหม่จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด โดยสามารถสังเกตได้ ดังนี้
  • น้ำหนักจะเพิ่มขึ้นสัปดาห์ละ 0.5 กิโลกรัม หรือเดือนละราว ๆ 2-2.5 กิโลกรัม
  • คุณแม่มือใหม่จะเจริญอาหารมากที่สุด อยากรับประทานสิ่งนั้นสิ่งนี้ไปเสียหมด ซึ่งก็ไม่ต้องแปลกใจไป นั่นเป็นเพราะลูกในท้องกำลังเติบโต ทั้งทางสมองและร่างกาย
  • ปัสสาวะบ่อย เนื่องจากกระเพาะปัสสาวะโดนเบียด เพราะขนาดตัวของทารกที่ใหญ่ขึ้น
  • เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย แต่นอนไม่หลับ หลับยาก
  • รู้สึกอึดอัด เพราะมดลูกขยายตัวใหญ่ขึ้น
  • ปวดหลัง เนื่องจากต้องเดินแอ่นหลังเวลายืน เดิน หรือนั่ง เพื่อประคองทารกในครรภ์ที่มีน้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้น
  • เกิดตะคริวบ่อยขึ้น เพราะกล้ามเนื้อขาทำงานผิดปกติ

การดูแลตัวเองและลูกน้อย

ส่วนของการดูแลตัวเองและลูกน้อยในช่วงไตรมาสนี้ มีดังนี้

  • อาหาร ควรรับประทานอาหารที่ประโยชน์ต่อร่างกาย
  • อาหารย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก
  • โปรตีนคุณภาพสูง เช่น เนื้อสัตว์ เนื้อปลา
  • ผักใบเขียวชนิดต่าง ๆ
  • แคลเซียม เช่น ปลาตัวเล็กทานทั้งก้างได้ หรือนม
  • เตรียมของใช้ทารกแรกเกิด ควรจัดเตรียมเสื้อผ้า ผ้าอ้อม และของใช้เด็กอ่อนไว้ให้พร้อม เผื่อเวลาที่เจ็บท้องคลอด จะได้ไปโรงพยาบาลได้ทันที
  • การตรวจครรภ์ โดยในช่วงนี้ต้องพบแพทย์บ่อยขึ้น เพื่อตรวจสุขภาพของแม่และลูก อีกทั้งเตรียมความพร้อมของร่างกายก่อนคลอด
  • หากสังเกตเห็นสัญญาณผิดปกติ หรือมีอาการน้ำเดิน เจ็บท้องเป็นจังหวะ หรือการขยับตัวน้อยลงของลูกในครรภ์ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

 

วิธีการคลอด

รูปแบบการคลอดที่นิยมกันในปัจจุบันมี 2 วิธี คือการคลอดแบบธรรมชาติ และการผ่าคลอด ซึ่งแต่ละวิธีมีข้อดี-ข้อเสียแตกต่างกันออกไป ซึ่งข้อมูลพื้นฐานเหล่านี้ จะช่วยให้เข้าใจธรรมชาติ และตัดสินใจเลือกวิธีคลอดที่เหมาะสมกับคุณแม่ได้ง่ายขึ้น

คลอดแบบธรรมชาติ

การคลอดแบบธรรมชาติ เป็นวิธีการพื้นฐานที่รู้จักกันดี ข้อดีก็คือมีขนาดแผลที่เล็กกว่า คุณแม่ฟื้นตัวได้เร็ว และทารกก็จะแข็งแรงด้วยภูมิคุ้มกันทางธรรมชาติ แต่ทั้งนี้อาจจะมีความเจ็บปวดในตอนคลอดมากกว่าการผ่าคลอด และไม่สามารถกำหนดช่วงเวลาคลอดได้

การผ่าคลอด

การผ่าคลอดเป็นหนึ่งในวิธีที่ปลอดภัยและได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะสามารถกำหนดวันเวลา และฤกษ์ในการคลอดได้เอง ปกติคุณแม่ที่ผ่าคลอดจะฟื้นตัวภายใน 24 ชั่วโมง ส่วนเรื่องแผลเป็นที่หลายคนกังวลอาจจะใช้เวลาประมาณ 6สัปดาห์ เพื่อให้แผลหายสนิท

สำหรับความเสี่ยงที่สามารถเกิดจากการผ่าคลอดได้ เช่น คุณแม่อาจเสี่ยงต่อการแพ้ยา และเสียเลือดมาก แต่เทคโนโลยีในปัจจุบันบวกกับความชำนาญของแพทย์ทำให้การผ่าคลอดของคุณแม่และลูกน้อยเป็นไปได้อย่างปลอดภัย และราบรื่น
เมื่อคุณแม่มือใหม่มีความมั่นใจในการดูแลลูกน้อยในครรภ์มากขึ้น และพร้อมสำหรับการคลอดลูกแล้ว แต่ก็ต้องไม่ลืมแบ่งเวลามาทำเช็กลิสต์ของใช้ทารกแรกเกิด เพื่อเตรียมไว้ให้พร้อมรอต้อนรับเจ้าตัวน้อย The Selection ขอเสนอสินค้าสำหรับเด็ก ของใช้สำหรับเด็กอ่อน พร้อมรับโปรโมชันดี ๆ คลิก https://www.theselectionth.com/product-category/momkids/kids/

 

แหล่งข้อมูล

คุณแม่มือใหม่ควรรู้…วิธีดูแลลูกน้อยตลอดการตั้งครรภ์. สืบค้นเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2567 จาก https://www.paolohospital.com/th-th/center/Article/Details/คุณแม่มือใหม่ควรรู้—วิธีดูแลลูกน้อยตลอดการตั้งครรภ์

The Art of Salads เข้าใจประโยชน์ผักสลัดก่อนเริ่มรับประทาน

คนรักสุขภาพเพลิดเพลินไปกับการกินผักสลัดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

รู้หรือไม่ ? ว่าผักสลัดมีประโยชน์มากกว่าที่คิด เพราะผักแต่ละชนิดไม่ได้มีดีแค่ความกรุบกรอบและสีสันที่ทำให้อาหารดูน่ากินมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย การเลือกผักสลัดให้เหมาะสมกับเป้าหมายการดูแลสุขภาพ จึงเป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับที่ช่วยเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงในแบบที่คุณต้องการ

 

คนรักสุขภาพเพลิดเพลินไปกับการกินผักสลัดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

 

สลัด คืออะไร ?

สลัด (Salad) มาจากรากศัพท์ในภาษาละตินของคำว่า Herbasalta ที่หมายถึง ผักรสเค็ม นิยมปรุงด้วยเกลือ หรือน้ำมันมะกอกและน้ำส้มสายชู เป็นเมนูที่ทำได้ง่าย ๆ มีมาตั้งแต่สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 14 แม้ว่าดั้งเดิมจะถูกจัดเป็นอาหารเรียกน้ำย่อย (Appetizer) แต่ในปัจจุบันมักถูกเสิร์ฟเป็นอาหารจานแรก (Starter) และได้รับความนิยมในกลุ่มคนรักสุขภาพ ทั้งยังปรุงด้วยส่วนประกอบที่หลากหลายกว่าแต่ก่อน ยิ่งถ้าเราเลือกใส่วัตถุดิบที่เหมาะสมใน 1 จาน ก็จะทำให้เราได้รับสารอาหารที่สำคัญอย่างครบถ้วน

5 ผักสลัด ทานง่าย สำหรับผู้เริ่มต้น

การเลือกผักสลัดเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มความอร่อย ทั้งยังช่วยให้ผู้ที่เริ่มกินเมนูสลัดกินได้ง่ายขึ้น สำหรับใครที่กำลังอยู่ในช่วงทดลองปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหาร โดยหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น แต่ไม่รู้จะเลือกผักอะไรดี นี้คือ 5 ผักสลัดมากประโยชน์ที่หาซื้อได้ง่าย และได้คุณค่าทางอาหารแบบจัดเต็ม

  • กรีนโอ๊ก : ใบเขียวอ่อน มีรสชาติหวานกรอบ อ่อนโยน เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบผักรสขม
  • เรดโอ๊ก : ใบสีแดงเข้ม มีรสขมนิด ๆ แต่แฝงไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีต่อร่างกาย
  • คอส : ใบแข็งและกรอบ มีเนื้อสัมผัสแน่น นิยมนำมาใช้เป็นฐานในการทำซีซาร์สลัด ทั้งยังอุดมไปด้วยวิตามินซี โพแทสเซียม และกรดโฟลิก ช่วยเสริมสร้างระบบขับถ่ายที่ดี
  • บัตเตอร์เฮด : ใบเนียนนุ่ม เรียงซ้อนกันเป็นชั้น ๆ ดูคล้ายดอกกุหลาบ อุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี และใยอาหาร เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก ทั้งยังช่วยให้รู้สึกอิ่มนาน
  • ฟริลล์ไอซ์เบิร์ก : มีความกรอบเป็นพิเศษ นิยมใช้แทนผักกาดแก้ว เหมาะสำหรับคนชอบความกรุบกรอบ

 

กินสลัดช่วยอะไร รวมประโยชน์ผักสลัดที่ควรรู้ !

การรับประทานผักสลัดมีประโยชน์อย่างไร ? หลายคนอาจไม่รู้ว่าผักใบเขียวเหล่านี้เต็มไปด้วยคุณค่าที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพในหลากหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 5 คุณประโยชน์หลักที่จะได้รับอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ได้แก่

  • ช่วยควบคุมน้ำหนัก : เนื่องจากผักสลัดมีแคลอรีต่ำและมีไฟเบอร์สูง ช่วยให้อิ่มนาน ลดความอยากอาหารจุกจิก
  • เสริมระบบย่อยอาหาร : อย่างที่บอกไปว่า ผักสลัดมีไฟเบอร์สูง จึงช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ลดปัญหาการย่อยอาหาร และท้องผูกได้เป็นอย่างดี
  • บำรุงผิวพรรณและสายตา : วิตามิน A, C, E ในผักช่วยให้ผิวพรรณสดใส และบำรุงสายตา
  • เสริมภูมิคุ้มกัน : ผักสลัดหลาย ๆ ชนิดจะมีวิตามิน C และ K จึงช่วยสร้างความแข็งแรงให้ระบบภูมิคุ้มกัน
  • ลดระดับคอเลสเตอรอล : ผักบางชนิดมีสารช่วยลดไขมันในเลือด ส่งผลดีต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด

 

The Elements of a Perfect Salad กินสลัดหนึ่งจานให้ได้ประโยชน์ต้องมีอะไรบ้าง ?

การสร้างสรรค์ “สลัด” หนึ่งจานให้อิ่มอร่อยและได้ประโยชน์ครบถ้วน ควรประกอบไปด้วย 4 องค์ประกอบสำคัญ ดังนี้

จานสลัดที่อุดมไปด้วยผักสลัดและธัญพืชที่มีประโยชน์

 

  • ผักสลัด (Base): ปริมาณผักเทียบเท่า 1 ถ้วยตวง จะให้พลังงานประมาณ 25 กิโลแคลอรี แต่มีคาร์โบไฮเดรต ใยอาหารสูง แนะนำให้เลือกผักใบพลังงานต่ำ เช่น ผักกาดหอม ผักกาดแก้ว ผักโขม ผักคอส กรีนโอ๊ก เรดโอ๊ก
  • เนื้อสัตว์/โปรตีน/ผลไม้ (Body): นิยมเลือกใส่เนื้อสัตว์ไขมันต่ำ ซึ่งเป็นแหล่งของโปรตีน โดย 100 กรัม ให้พลังงานประมาณ 100 – 250 กิโลแคลอรี เช่น อกไก่ เนื้อหมู เนื้อปลาทูน่า เนื้อปลาแซลมอน หรือไข่ต้ม 1 ฟอง ให้พลังงาน 70 กิโลแคลอรี อาจเสริมด้วยผลไม้ชนิดต่าง ๆ ใส่ในจานสลัดเพื่อให้ได้สารอาหารที่ครบถ้วน
  • ธัญพืช (Garnish): วัตถุดิบตกแต่งทำให้น่ากินมากขึ้น ช่วยเพิ่มไขมันดีและวิตามิน นิยมใส่ประเภทถั่วและธัญพืช เช่น เมล็ดงา เมล็ดทานตะวัน อัลมอนด์ ถั่วแดง ลูกเดือย คีนัว เมล็ดข้าวโพด โดยไขมัน 1 กรัม จะให้พลังงานประมาณ 10 กิโลแคลอรี
  • น้ำสลัด (Dressing): น้ำสลัดทั้งแบบน้ำใสและแบบครีมข้น เลือกใส่ตามความชอบ หากเป็นน้ำสลัดครีมอาจมีพลังงานสูงถึง 400 กิโลแคลอรี แต่ควรเลือกใส่น้ำสลัดในปริมาณที่พอเหมาะ เพราะอาจมีน้ำตาลและโซเดียมสูงได้

 

รู้วิธีเลือกวัตถุดิบในการจัดจานสลัดให้ได้คุณค่าสารอาหารครบถ้วนกันแล้ว กินสลัดครั้งต่อไป ลองจัดจานตามที่แนะนำ แต่อย่าซีเรียสเรื่องปริมาณพลังงานที่ได้รับมากจนเกินไป แค่เพิ่มความใส่ใจในการเลือกวัตถุดิบให้มากขึ้น รับรองว่าอิ่มท้องแบบสุขภาพดีแน่นอน

และสำหรับใครที่มองหาร้านขายของเพื่อสุขภาพ เพราะสนใจอยากลองทานสลัดแบบคนรักสุขภาพ สามารถมาเลือกซื้อผักสลัดออร์แกนิก น้ำสลัดเพื่อสุขภาพ และอาหารสำหรับสาย Healthy ที่คัดสรรมาแล้วว่ามีประโยชน์ รวมถึงมีโภชนาการแบบครอบคลุมได้ที่ The Selection แพลตฟอร์มสำหรับคนยุคใหม่ที่รวมสินค้าและอาหารเพื่อสุขภาพที่คัดสรรโดยบุคลากรทางการแพทย์เอาไว้มากมาย พร้อมส่วนลดพิเศษเฉพาะคุณ คลิก https://www.theselectionth.com/product-category/healthyfooddrinks/

 

แหล่งข้อมูล

ผักสลัด 10 ชนิดสุดฮิต กินดีมีประโยชน์สำหรับสายเฮลธ์ตี้. สืบค้นเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2567 จาก https://urban-farming.co.th/ผักสลัด-10-ชนิดสุดฮิต/

บอกต่อ ! เตรียมตัวดูแลผู้อายุในช่วงฤดูหนาวอย่างไรให้อุ่นใจ

การเตรียมตัวดูแลผู้สูงอายุในช่วงฤดูหนาว ต้องทำอย่างไร

ฤดูหนาวเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายสำหรับผู้สูงอายุ เนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้ง่าย การดูแลผู้สูงอายุในช่วงนี้จึงต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ แล้วเราควรมีวิธีเตรียมตัวดูแลผู้สูงอายุในช่วงฤดูหนาวอย่างไร เพื่อให้พวกท่านมีสุขภาพที่ดีและปลอดภัยตลอดฤดูกาล ?

การเตรียมตัวดูแลผู้สูงอายุในช่วงฤดูหนาว ต้องทำอย่างไร

4 วิธีการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุในช่วงฤดูหนาว

เพราะร่างกายของผู้สูงอายุมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศมากกว่าวัยอื่น ๆ การเตรียมพร้อมด้วยวิธีการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ

  1. รักษาอุณหภูมิร่างกายให้อบอุ่น เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดไข้สูงในผู้สูงอายุ โดยควรให้ผู้สูงอายุสวมใส่เสื้อผ้าหนา ๆ หลายชั้น รวมถึงขณะนอนพักผ่อนอย่าลืมดูแลห่มผ้าห่มเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น นอกจากนี้ การรักษาอุณหภูมิภายในบ้านให้อยู่ระหว่าง 20-24 องศาเซลเซียสก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยป้องกันภาวะอุณหภูมิร่างกายต่ำเกินไป
  2. ชวนออกกำลังกายหรือกิจกรรมเพิ่มการเคลื่อนไหว แม้อากาศจะหนาว แต่การได้เคลื่อนไหวร่างกายเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างสม่ำเสมอ ผู้ดูแลอาจชวนผู้สูงอายุทำกิจกรรมเบา ๆ ภายในบ้าน เช่น การยืดเหยียดกล้ามเนื้อ หรือเดินเบา ๆ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด
  3. รับประทานอาหารที่เหมาะสม ให้ผู้สูงอายุรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ โดยเฉพาะอาหารที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เช่น ผักผลไม้ตามฤดูกาล และอาหารอุ่น ๆ เพื่อช่วยให้ร่างกายอบอุ่น
  4. พักผ่อนให้เพียงพอ การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและฟื้นฟูร่างกาย จึงควรจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับการพักผ่อน เช่น ใช้ผ้าปูที่นอนและผ้าห่มที่อุ่น และควบคุมอุณหภูมิห้องให้เหมาะสม

 

5 โรคที่ต้องระวังเป็นพิเศษสำหรับผู้สูงอายุในฤดูหนาว

นอกจากการดูแลสุขภาพทั่วไปของผู้สูงอายุแล้ว การระมัดระวังโรคที่มักเกิดขึ้นในช่วงฤดูหนาวก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เนื่องจากภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอตามวัย อาจทำให้พวกท่านมีความเสี่ยงสูงต่อการเจ็บป่วยได้ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคที่มักพบบ่อยในช่วงฤดูหนาว จะช่วยให้สามารถป้องกันและดูแลสุขภาพผู้สูงอายุได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การดูแลสุขภาพผู้สูงอายุให้ไกลจากโรคที่มาพร้อมลมหนาว

1. โรคติดต่อเกี่ยวกับทางเดินหายใจ

อาการไข้สูงในผู้ใหญ่ที่เกิดจากโรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ และโรคปอดบวม เป็นภัยคุกคามที่มักเกิดกับผู้สูงอายุในช่วงฤดูหนาว เพราะเชื้อไวรัสและแบคทีเรียจะแพร่กระจายได้ง่ายในอากาศเย็นและแห้ง ผู้สูงอายุจึงควรได้รับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ทั้งยังควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัด และรักษาสุขอนามัยอย่างเคร่งครัด

2. โรคผิวหนัง ผิวแห้ง อักเสบ

อากาศเย็นและแห้งในฤดูหนาวจะทำให้ผิวหนังของผู้สูงอายุแห้งและแตกง่าย นำไปสู่อาการคัน และอาจเกิดการอักเสบได้ ควรใช้ครีมบำรุงผิวที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อนจัด และรักษาความชุ่มชื้นในอากาศภายในบ้าน

3. อาการกำเริบรุนแรง กับผู้ที่เป็นโรคในระบบไหลเวียนเลือด

อากาศหนาวทำให้หลอดเลือดหดตัว ส่งผลให้ความดันโลหิตสูงขึ้น จึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง ผู้สูงอายุควรได้รับการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงทานยาตามแพทย์สั่ง และหลีกเลี่ยงการออกนอกบ้านในช่วงที่อากาศหนาวจัด อีกทั้งการใช้เครื่องวัดความดันโลหิตอัตโนมัติที่ออกแบบมาให้ใช้งานง่าย จะช่วยในการติดตามสุขภาพของผู้สูงอายุได้ 

4. ภาวะที่อุณหภูมิของร่างกายลดลงมากผิดปกติ

ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงสูงต่อภาวะอุณหภูมิร่างกายต่ำกว่าปกติ (Hypothermia) เนื่องจากระบบควบคุมอุณหภูมิร่างกายเสื่อมถอยลง จึงควรดูแลให้ร่างกายของผู้สูงอายุให้อบอุ่นอยู่เสมอ รวมถึงการสวมเสื้อผ้าที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับผู้สูงอายุ เช่น เสื้อผ้าที่ใส่และถอดง่าย มีฉนวนกันความร้อนที่ดี  

5. อาการปวดข้อ

อากาศเย็นอาจทำให้อาการปวดข้อในผู้สูงอายุรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคข้ออักเสบ ควรให้ความอบอุ่นแก่ข้อต่าง ๆ ด้วยการสวมถุงเท้าและเสื้อผ้าที่ออกแบบมาเฉพาะ รวมถึงการใช้อุปกรณ์ช่วยพยุงข้อที่เหมาะสม ควบคู่ไปกับการทำกายภาพบำบัดเบา ๆ ด้วยอุปกรณ์ที่ปลอดภัย เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดที่อาจเกิดขึ้น 

อย่างไรก็ตาม การดูแลสุขภาพผู้สูงอายุด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับผู้สูงอายุ ไม่เพียงแต่จะช่วยป้องกันและบรรเทาอาการของโรคต่าง ๆ  ในฤดูหนาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตและความปลอดภัยให้กับผู้สูงอายุอีกด้วย

เตรียมตัวดูแลผู้สูงอายุในช่วงฤดูหนาวอย่างถูกวิธี พร้อมสร้างสุขภาพที่ดีควบคู่ไปได้ง่าย ๆ ขอแนะนำผลิตภัณฑ์ผู้สูงอายุ ทั้งของใช้และของกินที่มีสารอาหารครบถ้วนได้ที่ The Selection แพลตฟอร์มสำหรับคนยุคใหม่ที่ตอบโจทย์คนรักสุขภาพ  แหล่งรวมสินค้าเพื่อผู้สูงอายุที่คัดสรรโดยบุคลากรทางการแพทย์ พร้อมแนะนำผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพต่าง ๆ และส่วนลดพิเศษเฉพาะคุณ คลิก  https://www.theselectionth.com/shop/ 

แหล่งข้อมูล

ดูแลสุขภาพ ผู้สูงอายุ… ในหน้าหนาว. สืบค้นเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2567 จาก  https://www.synphaet.co.th/ดูแลสุขภาพ-ผู้สูงอายุ-ใน/

เตรียมรับมือ ! 5 โรคที่เกิดในฤดูหนาวพร้อมวิธีป้องกัน

ผู้หญิงปิดหน้าหนาวเพื่อป้องกันเชื้อโรคที่มากับฤดูหนาว

เมื่อพูดถึง ฤดูหนาว หลาย ๆ คนอาจคิดถึงอากาศที่เย็นสบาย และตื่นเต้นกับการได้ใส่เสื้อกันหนาวออกไปสัมผัสลมเย็น ๆ นอกบ้าน แต่ในขณะเดียวกัน ฤดูหนาวก็เป็นช่วงเวลาที่เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ง่ายเช่นกัน เพราะด้วยอากาศที่เย็นและแห้ง จึงทำให้ร่างกายอ่อนแอได้ง่าย ทั้งยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียมากขึ้น ดังนั้นการรู้จักโรคที่มากับฤดูหนาวและวิธีป้องกันเอาไว้ จะช่วยให้คุณสามารถดูแลสุขภาพของตนเองและคนในครอบครัวได้ดียิ่งขึ้น

 

ทำไมฤดูหนาวถึงเป็นฤดูกาลที่เราป่วยง่าย ?

ก่อนที่เราจะไปรู้จักกับโรคหน้าหนาวยอดฮิต มาทำความเข้าใจกันก่อนว่า ทำไมเราถึงป่วยง่ายในช่วงฤดูหนาว

  • อากาศแห้ง : ด้วยสภาพอากาศที่แห้งในช่วงฤดูหนาว ทำให้เยื่อบุในร่างกายของเราแห้งและระคายเคือง ส่งผลให้เชื้อโรคสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะกับระบบทางเดินหายใจ
  • ภูมิคุ้มกันลดลง : อุณหภูมิที่ลดลงอย่างรวดเร็วอาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง ส่งผลให้มีโอกาสเจ็บป่วยจากเชื้อโรคได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในผู้สูงอายุและเด็กเล็ก
  • ไวรัสแพร่กระจายได้ง่าย : สภาพอากาศที่เย็นและแห้ง จึงเอื้อต่อการแพร่กระจายของไวรัสบางชนิด ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ ที่มักเกิดการแพร่ระบาดในช่วงฤดูหนาว

 

5 โรคที่มากับฤดูหนาว

อย่างที่บอกไปว่า ฤดูหนาวมักเป็นช่วงเวลาที่หลายคนรอคอย แต่ต้องไม่ลืมว่าอากาศที่เย็นลงมักจะนำมาซึ่งโรคต่าง ๆ ด้วย ดังนั้น การทำความรู้จักกับโรคที่เกิดในฤดูหนาวและวิธีการป้องกันจะช่วยให้คุณสามารถระมัดระวังตนเองได้ดียิ่งขึ้น

1. โรคไข้หวัด

ไข้หวัด ถือเป็นโรคฤดูหนาวที่พบได้บ่อย เกิดจากเชื้อไวรัสที่เข้าสู่ร่างกายผ่านทางระบบหายใจ โดยจะมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ จาม เจ็บคอ และมีไข้ต่ำ ๆ การพักผ่อนให้เพียงพอ และดื่มน้ำมาก ๆ รวมถึงหลีกเลี่ยงไปในสถานที่แออัด จะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้

2. โรคปอดบวม

โรคปอดบวม เป็นภาวะที่ปอดเกิดการอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัส ซึ่งมักพบในผู้สูงอายุและเด็กเล็ก อาการของโรคปอดบวมคือ ไอ เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก และเสมหะมีสีเหลืองหรือเขียว ในกรณีที่รุนแรงอาจต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการรักษาอย่างเร่งด่วน 

3. โรคอุจจาระร่วงในเด็กเล็ก

ในฤดูหนาว เชื้อไวรัสโรต้ามักเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กเล็กเกิดอาการอุจจาระร่วงอย่างรุนแรง โดยมักจะมีไข้สูง ถ่ายเหลวบ่อยครั้ง และอาเจียนอย่างหนัก การป้องกันคือให้เด็กดื่มน้ำสะอาดและรักษาสุขอนามัยอย่างเคร่งครัด รวมถึงฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อโรต้าไวรัส

4. โรคอีสุกอีใส

โรคอีสุกอีใส  เกิดจากเชื้อไวรัสวาริเซลลา สามารถติดต่อได้ผ่านการสัมผัสตุ่มน้ำใสหรือละอองฝอยจากการไอหรือจามของผู้ป่วย อาการเบื้องต้นคือ มีไข้ต่ำ ๆ เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัว และมีผื่นขึ้นตามผิวหนังเป็นตุ่มน้ำใส โดยส่วนมากโรคนี้ ไม่ต้องไปพบแพทย์ เพราะจะมีอาการป่วยไม่นาน ไม่มีโรคแทรกซ้อนและจะหายไปเอง แต่ถ้าต้องการป้องกัน สามารถฉีดวัคซีนป้องกันอีสุกอีใสได้

5. โรคภูมิแพ้

ภูมิแพ้ เป็นอีกหนึ่งโรคหน้าหนาวยอดฮิต สามารถเกิดขึ้นได้ง่ายในกลุ่มคนที่แพ้ฝุ่น ควันบุหรี่ ขนสัตว์ หรืออากาศเย็น ทำให้เกิดอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล คันตา จาม และบางรายอาจมีผื่นคันตามตัว การป้องกันคือหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสิ่งที่ทำให้เกิดอาการแพ้และหมั่นทำความสะอาดที่พักอาศัยบ่อย ๆ

tissue-blow-nose-woman-on-sofa

ความรู้เรื่องสุขภาพ : การดูแลตนเองให้ห่างไกลจากโรคที่มากับหน้าหนาว

นอกจากการป้องกันเฉพาะ 5 โรคยอดฮิตฤดูหนาวแล้ว ยังมีวิธีดูแลสุขภาพทั่วไปที่จะช่วยป้องกันร่างกายตัวเองให้ห่างไกลจากโรคอื่น ๆ ได้

  • ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง : รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ
  • อยู่ในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก : หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่แออัดหรืออับชื้น หากอยู่ในบ้านให้เปิดหน้าต่างเพื่อระบายอากาศบ้างเป็นครั้งคราว
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มสุรา : พฤติกรรมเหล่านี้จะทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง
  • อยู่ให้ห่างจากผู้ป่วย เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค : หากจำเป็นต้องดูแลผู้ป่วย ให้สวมหน้ากากอนามัยและล้างมือบ่อย ๆ
  • ไม่ใช้ของร่วมกับผู้อื่น : โดยเฉพาะของใช้ส่วนตัว เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ หรือช้อนส้อม
  • ล้างมือบ่อย ๆ : ใช้สบู่และน้ำสะอาด หรือเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหารและหลังเข้าห้องน้ำ

การเตรียมตัวให้พร้อมในช่วงฤดูหนาวและดูแลสุขภาพอย่างถูกวิธี จะช่วยให้เราห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ที่มากับฤดูหนาวได้ รวมถึงหมั่นรักษาความสะอาด ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม และระมัดระวังเรื่องอาหารการกิน ก็จะช่วยให้เรามีสุขภาพที่แข็งแรงและสามารถสนุกกับบรรยากาศของฤดูหนาวได้อย่างเต็มที่

สำหรับผู้ที่สนใจเกร็ดความรู้สุขภาพเพิ่มเติม สามารถติดตามได้ที่ The Selection แพลตฟอร์มสำหรับคนยุคใหม่ที่ตอบโจทย์คนรักสุขภาพ แหล่งรวมบทความสุขภาพที่จัดทำโดยบุคลากรทางการแพทย์ พร้อมแนะนำผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพต่าง ๆ และมีส่วนลดพิเศษเฉพาะคุณในการสั่งซื้อสินค้า คลิก https://www.theselectionth.com/shop/ เพื่อดูแลสุขภาพของคุณและคนที่คุณรักอย่างครบวงจร

 

แหล่งข้อมูล

  1. เตือนภัย! โรคยอดฮิต ในหน้าหนาว ที่ต้องระวัง สืบค้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2567 จาก https://www.phyathai.com/th/article/2352-เตือนภัย__โรคยอดฮิต_ในหน
  2. เตรียมรับมือ 6 โรคที่พบบ่อยในหน้าหนาว สืบค้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2567 จาก https://ch9airport.com/th/รับมือ-6-โรค-หน้าหนาว/

วิธีเลือกเตียงสำหรับผู้ป่วยติดเตียง หมดปัญหาแผลกดทับ

วิธีเลือกเตียงผู้ป่วยที่เหมาะสม ช่วยให้ผู้ป่วยหญิงนอนพักผ่อนได้อย่างสบาย

การดูแลผู้ป่วยติดเตียงนับเป็นภารกิจที่ต้องอาศัยความอดทนและความเอาใจใส่เป็นอย่างสูง โดยหนึ่งในปัจจัยสำคัญของการดูแล คือการเลือกเตียงผู้ป่วยที่เหมาะกับการใช้งาน เนื่องจาก เตียงที่ออกแบบมาเพื่อใช้สำหรับดูแลผู้ป่วยโดยเฉพาะจะช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดแผลกดทับได้ ทั้งยังช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเปลี่ยนท่าทางและอิริยาบถต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก ส่งผลให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างมีคุณภาพ

วิธีเลือกเตียงผู้ป่วยที่เหมาะสม ช่วยให้ผู้ป่วยหญิงนอนพักผ่อนได้อย่างสบาย

ทำไมวิธีเลือกเตียงผู้ป่วยที่ถูกต้อง ถึงมีความสำคัญ ?

การเลือกเตียงผู้ป่วยที่เหมาะสมไม่เพียงเพิ่มความสะดวกสบายเท่านั้น แต่ยังช่วยลดปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ที่อาจตามมา ดังนี้

1. ป้องกันแผลกดทับ

แผลกดทับมักเกิดจากการนอนท่าเดียวนานเกินไป อย่างไรก็ตาม เตียงผู้ป่วยที่ออกแบบมาอย่างดีจะช่วยกระจายแรงกดทับ จึงช่วยป้องกันแผลที่อาจเกิดขึ้นบนผิวหนัง ทั้งยังช่วยลดโอกาสเกิดความเจ็บปวดและภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่อาจตามมา

2. ส่งเสริมท่านอนที่ถูกต้อง

สำหรับเตียงผู้ป่วยแบบปรับระดับได้ จะช่วยให้ผู้ป่วยนอนพักผ่อนในท่าที่เหมาะสม ส่งผลให้ลดการกดทับและอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่จำเป็นต้องเปลี่ยนท่านั่งหรือนอนบ่อยครั้ง

3. เพิ่มความสะดวกสบาย

นอกจากนี้ เตียงที่นุ่มสบายยังช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกผ่อนคลาย ส่งผลให้การนอนหลับมีคุณภาพที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อการฟื้นฟูสุขภาพของผู้ป่วย

4. อำนวยความสะดวกแก่ผู้ดูแล

ในขณะเดียวกัน เตียงผู้ป่วยที่มีฟังก์ชันปรับระดับได้อย่างสะดวก ยังจะช่วยให้ผู้ดูแลสามารถปรับตำแหน่งการนอนของผู้ป่วยได้โดยไม่ต้องใช้แรงมาก ทำให้ช่วยลดความเหนื่อยล้าและส่งผลดีต่อการดูแลให้เป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งขึ้น

 

เลือกเตียงผู้ป่วยแบบไหนดี ? : รู้จักประเภทของเตียงผู้ป่วย

ในการเลือกเตียงสำหรับดูแลผู้ป่วย สิ่งสำคัญคือการพิจารณาประเภทที่ตอบสนองต่อความต้องการของทั้งผู้ป่วยและผู้ดูแล โดยแต่ละประเภทจะมีทั้งข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้

1. เตียงผู้ป่วยมือหมุน

เตียงประเภทนี้จะเป็นแบบ Manual ซึ่งจำเป็นต้องหมุนด้วยมือเพื่อปรับระดับความสูงหรือตำแหน่งต่าง ๆ ข้อดีคือ มีราคาถูกกว่าเตียงไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม การใช้งานอาจไม่สะดวกมากนัก เนื่องจากต้องออกแรงหมุนปรับเตียง จึงอาจไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนท่าทางบ่อยครั้ง

2. เตียงผู้ป่วยไฟฟ้

เตียงไฟฟ้ามอบความสะดวกสบายได้มากกว่า เนื่องจากสามารถปรับระดับได้ตามต้องการโดยไม่ต้องใช้แรง ผู้ป่วยอาจควบคุมด้วยตนเองผ่านรีโมต หรือผู้ดูแลอาจปรับให้นั่งหรือนอนได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ดี แม้เตียงประเภทนี้จะมีราคาสูงกว่าเตียงแบบมือหมุน แต่หากพิจารณาถึงฟังก์ชันการใช้งาน ก็นับว่าคุ้มค่าสำหรับการใช้งานในระยะยาว

 

วิธีเลือกเตียงสำหรับผู้ป่วยติดเตียง

การเลือกเตียงสำหรับผู้ป่วยไม่ควรคำนึงถึงแค่ความสบายเท่านั้น แต่ยังต้องพิจารณาถึงเรื่องความปลอดภัยและการใช้งานที่ตอบโจทย์ โดยมีปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณาดังนี้

  • ขนาด ความสูง และน้ำหนักที่รับได้ 

เริ่มต้นด้วยการเลือกเตียงที่มีขนาดเหมาะกับพื้นที่ห้องและสามารถรองรับน้ำหนักของผู้ป่วยได้อย่างมั่นคง ทั้งนี้ ควรคำนึงถึงน้ำหนักของผู้ดูแล (ในกรณีที่ต้องอยู่บนเตียงร่วมกับผู้ป่วย) และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่อาจต้องใช้ร่วมด้วย

  • ความปลอดภัย 

เรื่องของความปลอดภัยเป็นสิ่งที่ต้องนำมาพิจารณาในลำดับต้น ๆ โดยเตียงที่ควรเลือกใช้นั้น ควรมีโครงสร้างที่แข็งแรง มั่นคง ไม่มีมุมแหลมคม และต้องมีอุปกรณ์ป้องกันการตกจากเตียง ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญในการป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น

  • วัสดุ 

นอกจากนี้ วัสดุของเตียงก็สำคัญไม่แพ้เรื่องอื่น ๆ โดยควรเลือกวัสดุที่แข็งแรง ทนทาน และทำความสะอาดได้ง่าย อย่างเช่น สเตนเลสหรืออะลูมิเนียม เพราะนอกจากจะช่วยป้องกันการเจริญของแบคทีเรียได้ดีแล้ว ยังช่วยยืดอายุการใช้งานของเตียงได้อีกด้วย 

  • ฟังก์ชันการใช้งาน 

ฟังก์ชันการปรับระดับก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องให้ความสำคัญ โดยควรเลือกเตียงที่สามารถปรับส่วนต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก เช่น ความสูง ความเอียง และที่สำคัญคือต้องมีระบบล็อกเพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้

  • ความสะดวกสบาย 

เตียงที่มาพร้อมกับที่นอนนุ่มสบาย ทั้งยังมีคุณสมบัติป้องกันแผลกดทับก็เป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะการเลือกที่นอนที่มีโฟมหรือเจลที่สามารถกระจายแรงกดทับได้ดี ก็จะช่วยให้ผู้ป่วยนอนหลับได้สบายยิ่งขึ้น

  • งบประมาณ 

ท้ายที่สุด อย่าลืมพิจารณาเรื่องงบประมาณ เนื่องจากเตียงผู้ป่วยมีหลากหลายรุ่นและราคา จึงควรกำหนดงบประมาณที่เหมาะสมและเลือกเตียงที่สามารถตอบโจทย์กับความต้องการได้ดีที่สุดภายในงบที่มี

 

คุณหมอกำลังเข้ามาดูอาการคุณป้าที่นอนอยู่บนเตียงคนป่วย

เลือกซื้ออุปกรณ์ผู้ป่วยติดเตียง เลือก The Selection

สำหรับผู้ที่กำลังมองหาอุปกรณ์ดูแลผู้ป่วยติดเตียงคุณภาพสูง หรือกำลังเลือกว่าควรเลือกซื้อเตียงคนป่วยซื้อที่ไหนดี The Selection เราขอแนะนำเตียงผู้ป่วยที่มาพร้อมกับนวัตกรรม Never Pressure Injuries (NPI) ที่มีระบบควบคุมแรงกดเฉพาะบุคคลแบบอัตโนมัติ ทั้งยังสามารถตรวจจับรูปแบบการนอนและวัดแรงกดทับแบบทันทีผ่านแอปพลิเคชัน ช่วยให้ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องพลิกตัวบ่อยทุก 2 ชั่วโมง ส่งผลให้ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ในขณะเดียวกันก็ช่วยลดภาระของผู้ดูแลได้อีกด้วย นอกจากนี้ เรายังจำหน่ายสินค้าผู้ป่วยและอุปกรณ์ด้านสุขภาพ ซึ่งสินค้าทุกชิ้นได้ผ่านการคัดเลือกโดยทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ดังนั้น คุณจึงมั่นใจได้ว่าจะได้รับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและปลอดภัยในระดับสูงสุด

หากสนใจ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของเรา คลิก https://www.theselectionth.com/product/never-pressure-injuries/  

ข้อมูลอ้างอิง

Hospital Beds: A Key Piece of Equipment for Home Health Care Comfort And Safety. สืบค้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2567 จาก https://penn-yorkmedical.com/2024/02/what-are-the-benefits-of-having-a-hospital-bed-at-home/.

5 โรคที่มากับน้ำท่วม อันตรายใกล้ตัวที่คุณต้องรู้

ผู้หญิงเดินลุยน้ำท่วม ระวังโรคที่มากับน้ำท่วม

ผู้หญิงเดินลุยน้ำท่วม ระวังโรคที่มากับน้ำท่วม

ระวัง 5 โรคที่มากับน้ำท่วม

น้ำที่ท่วมขังในสภาพแวดล้อมที่ไม่สะอาด ทำให้เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค ส่งผลให้เกิดโรคร้ายที่แพร่ระบาดได้ง่าย โดยมี 5 โรคที่มากับน้ำท่วมที่ต้องเฝ้าระวัง ดังนี้ 

1. โรคอุจจาระร่วงและอาหารเป็นพิษ

โรคอุจจาระร่วงและอาหารเป็นพิษเป็นหนึ่งในโรคที่มักพบมากที่สุดในช่วงน้ำท่วม สาเหตุหลักมักเกิดจากการบริโภคน้ำหรืออาหารที่ปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือปรสิต ที่สะสมอยู่ในน้ำขัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการขาดแคลนอาหารและน้ำสะอาด ทำให้ผู้คนต้องบริโภคอาหารที่อาจปนเปื้อนเชื้อโรค

อาการ : ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง และอาจมีไข้ร่วมด้วย

การป้องกัน : 

  • ดื่มน้ำสะอาดที่ต้มสุกหรือน้ำบรรจุขวดเท่านั้น
  • รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ๆ และอุ่นให้ร้อนก่อนรับประทาน
  • ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำสะอาดก่อนรับประทานอาหารและหลังเข้าห้องน้ำทุกครั้ง

2. โรคน้ำกัดเท้า หรือ ฮ่องกงฟุต

โรคน้ำกัดเท้า คือโรคที่มากับน้ำท่วมที่พบได้บ่อย มีสาเหตุเกิดจากการแช่เท้าในน้ำสกปรกที่ปนเปื้อนเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย หรือสารเคมีที่มากับน้ำท่วม โดยเฉพาะผู้ที่ต้องเดินลุยน้ำในพื้นที่ที่มีน้ำขังเป็นเวลานาน จนทำให้เกิดการระคายเคือง ผื่นคัน และอาการอื่น ๆ ที่อาจพัฒนาเป็นการติดเชื้อที่รุนแรงขึ้น

อาการ : ผิวหนังบริเวณเท้าเปื่อยยุ่ย มีอาการคัน แสบร้อน และอาจมีกลิ่นเหม็น

การป้องกัน :

  • สวมรองเท้าบูตยางเมื่อต้องเดินลุยน้ำ
  • เช็ดเท้าให้แห้งทันทีหลังสัมผัสน้ำ
  • ทาแป้งหรือโลชั่นกันเชื้อราบริเวณซอกนิ้วเท้า

3. โรคปอดอักเสบ

โรคปอดอักเสบหรือโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ มักเกิดจากการสูดดมอากาศที่ปนเปื้อนเชื้อโรคเข้าไป ซึ่งมักสะสมอยู่ในอากาศที่มีความชื้นสูง จึงทำให้เกิดการเจริญเติบโตของเชื้อโรคได้ดี

อาการ : ไอมีเสมหะ หายใจลำบาก มีไข้ หนาวสั่น และอ่อนเพลีย

การป้องกัน :

  • หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่อับชื้น
  • สวมหน้ากากอนามัยเสมอเมื่อต้องอยู่ในพื้นที่เสี่ยง
  • รักษาร่างกายให้อบอุ่นและพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

 

4. โรคฉี่หนู (เลปโตสไปโรซิส)

โรคฉี่หนูเกิดจากการสัมผัสน้ำหรือดินที่ปนเปื้อนปัสสาวะของสัตว์ที่ติดเชื้อ โดยเฉพาะหนูซึ่งเชื้อโรคจะเข้าสู่ร่างกายผ่านบาดแผลหรือรอยขีดข่วนบนผิวหนัง หากไม่รีบรักษาอาจทำให้เกิดอาการรุนแรงจนถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิตได้

อาการ : มีไข้สูง ปวดกล้ามเนื้อรุนแรง ปวดศีรษะ ตาแดง และอาจมีอาการตัวเหลือง ตาเหลืองในรายที่รุนแรง

การป้องกัน :

  • หลีกเลี่ยงการลุยน้ำท่วมขังโดยไม่จำเป็น
  • สวมรองเท้าบูตและถุงมือยางเมื่อต้องสัมผัสน้ำท่วม
  • ทำความสะอาดบาดแผลทันทีด้วยน้ำสะอาดและยาฆ่าเชื้อหากถูกน้ำสกปรกกระเด็นใส่

5. โรคตาแดง

โรคตาแดงเป็นโรคติดต่อที่มากับน้ำท่วม เกิดจากเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียที่ปนเปื้อนในน้ำ ซึ่งสามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสน้ำที่ปนเปื้อนและมีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อเราสัมผัสน้ำและเอามือขยี้ตาหรือสัมผัสตาโดยไม่ได้ล้างมือ

อาการ : ตาแดง คัน มีขี้ตามาก น้ำตาไหล และอาจมีอาการแสบตาร่วมด้วย

การป้องกัน :

  • หลีกเลี่ยงการขยี้ตาหรือสัมผัสตาด้วยมือที่ไม่สะอาด
  • ล้างมือให้สะอาดบ่อย ๆ โดยเฉพาะก่อนสัมผัสบริเวณใบหน้าและดวงตา
  • ใช้น้ำสะอาดในการล้างหน้าและทำความสะอาดดวงตา

สภาพบ้านเรือนที่ได้รับผลกระทบ โรคที่มากับน้ำท่วมอาจเกิดขึ้นได้

วิธีป้องกันตนเองจากโรคที่มากับน้ำท่วม

นอกจากการป้องกันโรคต่าง ๆ ข้างต้นแล้ว การให้ความสำคัญในการดูแลสุขภาพก็เป็นสิ่งจำเป็น โดยมีคำแนะนำดังนี้

  • ล้างมือบ่อย ๆ : การล้างมือด้วยสบู่เป็นประจำจะช่วยลดโอกาสติดเชื้อ
  • รับวัคซีนตามคำแนะนำของแพทย์ : บางโรคสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสม
  • ดูแลสภาพแวดล้อม : กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงและสัตว์พาหะนำโรคอื่น ๆ รวมถึงทำความสะอาดบ้านและบริเวณรอบ ๆ หลังน้ำลด
  • เตรียมชุดยาสามัญประจำบ้าน : จัดเตรียมยาและอุปกรณ์ปฐมพยาบาลเบื้องต้นไว้ในบ้าน เช่น ยาแก้ปวดลดไข้ ยาแก้ท้องเสีย น้ำเกลือแร่ และยาฆ่าเชื้อ
  • สังเกตสุขภาพร่างกายเป็นประจำ : หากมีอาการผิดปกติ เช่น มีไข้ ท้องเสีย หรืออาการที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ควรรีบพบแพทย์ทันที

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพในช่วงน้ำท่วมหรือเรื่องสุขภาพที่น่าสนใจอื่น ๆ สามารถติดตามได้ที่ The Selection แพลตฟอร์มสำหรับคนยุคใหม่ที่ตอบโจทย์คนรักสุขภาพ  แหล่งรวมบทความการดูแลสุขภาพโดยบุคลากรทางการแพทย์ พร้อมแนะนำผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อร่างกาย คลิก https://www.theselectionth.com/shop/ เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณและคนที่คุณรัก 

แหล่งข้อมูล

  1. โรคที่มากับน้ำท่วม สืบค้นเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2567 จาก https://www.si.mahidol.ac.th/th/healthdetail.asp?aid=926
  2. โรคติดต่อและอันตรายที่มาจากน้ำท่วม สืบค้นเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2567 จาก https://www.bangkokhospital.com/content/contagious-diseases-dangerous-from-the-flood