Preparation: Healthy Together in 2024 ธุรกิจบริการสุขภาพ เพื่อสุขภาวะที่ดีไปด้วยกัน

แนวทางการดูแลสุขภาพสำหรับคนยุคนี้มีให้เลือกหลากหลายมากขึ้น การมีร่างกายที่สมบูรณ์ แข็งแรง

ย่อมเป็นรากฐานของการใช้ชีวิตที่ยืนยาว คอลัมน์ Preparation จะพาไปรู้จักกับธุรกิจบริการในแวดวงสุขภาพ

เพื่อเป็นทางเลือกในการดูแลสุขภาพที่ตอบโจทย์ ปลอดภัย และเหมาะกับไลฟ์สไตล์มากที่สุด

 

 

 

 

 

 

 

Personalized Healthcare ดูแลสุขภาพแบบเฉพาะบุคคล

        เพราะร่างกายคนเรามีความแตกต่าง ทั้งจากไลฟ์สไตล์และจากลักษณะพันธุกรรมกระบวนการ การรักษาแบบเฉพาะเจาะจงนี้ มีความละเอียดมากกว่าการรักษาแบบปกติ ซึ่งไม่ใช่แค่เพื่อการรักษา แต่เพื่อเป็นการรู้ทันก่อนเกิดความเสี่ยงโรค ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพแบบเชิงลึกมากขึ้น ช่วยให้การวินิจฉัยโรคมีความชัดเจนและถูกต้องแม่นยำ ข้อได้เปรียบคือ ช่วยให้การรักษาอาการป่วยหรือลดความเสี่ยงของปัญหาสุขภาพได้อย่างตรงจุด ลดระยะเวลาการรักษาโรค ลดความเสี่ยงอาการรุนแรง ลดการกินยาเกินความจำเป็น โดยปรับเปลี่ยนการรักษา การให้ยา หรือการบำบัดให้เหมาะสมกับการตอบสนองต่อการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

• วินิจฉัยความเสี่ยง
• ป้องกันระยะเริ่มต้น
• ลดความรุนแรงของโรค
• สุขภาพดีในระยะยาว
• ตรวจสุขภาพแบบเฉพาะกลุ่ม: วัยทำงาน, วัยสูงอายุ, สุขภาพสตรี-บุรุษ, เพศทางเลือก, ตรวจ DNAค้นหาสาเหตุโรค ค้นหาสารก่อภูมิแพ้

 

 

Nutraceutical Trend โภชนเภสัช

การดูแลสุขภาพด้วยโภชนเภสัช เป็นการผสมผสานระหว่างคำว่า Nutrients และ Pharmaceutics เป็นการเลือกบริโภคชนิดอาหาร                  หรือส่วนประกอบของอาหารซึ่งมีสรรพคุณที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพที่มีส่วนช่วยการป้องกัน รักษา หรือชะลอวัย สามารถทำควบคู่ไปกับดูแล        ด้วยการแพทย์แผนปัจจุบันซึ่งมีความแตกต่างจากยาที่มีสารออกฤทธิ์เพื่อรักษาโรคโดยตรง ด้วยการผ่านกรรมวิธีโดยการสกัดนำเอาความเข้มข้น พัฒนาเป็นรูปแบบเม็ด แคปซูล แบบผงชงดื่ม หรือในรูปแบบน้ำดื่ม เช่น น้ำดื่มผสมวิตามิน พัฒนาเป็นสูตรเพื่อสุขภาพต่าง ๆ เพื่อเป็นทางเลือก    ในการบำรุงรักษาสุขภาพจากภายใน

• ช่วยให้ผ่อนคลาย นอนหลับสบาย ลดความเครียด

• Probiotic Prebiotic ดีต่อระบบทางเดินอาหาร

• เสริมภูมิคุ้มกันร่างกายให้แข็งแรง

• ชะลอวัย ผิวกระจ่างใส เปล่งปลั่ง

 

 

Lymphatic Drainage ขับสารพิษด้วยการนวด

ปัญหาผิวที่หลากหลาย ทั้งผิวหมองคล้ำ แพ้ง่าย หรือปัญหาสิว ลองมานวดกระตุ้นตามจุดต่อมน้ำเหลืองดูสักครั้ง โดยปกติการนวดที่มีบริการ    ตามสปาหรือร้านนวดทั่วไป เน้นเพื่อให้รู้สึกผ่อนคลายเป็นหลัก แต่เทคนิค Lymphatic Drainage นี้เป็นการซ่อมแซมร่างกายด้วยวิธีธรรมชาติ นวดโดยผู้เชี่ยวชาญ จะช่วยทำให้ร่างกายขับของเสียหรือสารพิษออกมาในรูปแบบของเหงื่อหรือปัสสาวะ ซึ่งเป็นการนวดแบบไม่ลงน้ำหนัก          และเน้นนวดแบบนุ่มนวล (light-pressure stroking) ช่วยลดอาการบวมน้ำ อาการปวดหัว ปรับสมดุลให้ร่างกายสดชื่น ฟื้นฟูร่างกาย                ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่อาจมีข้อจำกัดสำหรับผู้ที่เป็นโรคหัวใจ, โรคมะเร็ง, มีภาวะติดเชื้อหรือปัญหาการไหลเวียนของหลอดเลือดแดง

• กระตุ้นระบบการทำงานของน้ำเหลืองไหลเวียนดีขึ้น ลดปัญหาผิว
• กระตุ้นภูมิคุ้มกัน รู้สึกแข็งแรง กระปรี้กระเปร่า
• กระตุ้นระบบประสาท ลดความเจ็บปวด กล้ามเนื้อตึง การยืดรั้งของพังผืด

 

 

 

 

 

 

Sound healing Therapy ศาสตร์แห่งการบำบัดด้วยเสียง

สำหรับคนยุคใหม่ที่มองหาความผ่อนคลายจากความเครียด ความกังวลใจ ผ่านคอร์สบำบัดที่ใช้คลื่นเสียงจากอุปกรณ์ต่าง ๆ คุณสมบัติของคลื่นเสียงจะเข้าไปทำงานกับคลื่นสมองให้คงอยู่ในระดับ Theta Level ที่มีความถี่ 4-8 Hz เป็นระดับคลื่นที่สมองที่ทำงานช้าลง มีความผ่อนคลายสูง ร่างกายจะหลั่งสาร Serotonin และ Endorphine หรือในคอร์สที่ช่วยปรับคลื่นสมองในระดับ Beta ที่ทำให้ร่างกายมีสมาธิจดจ่อมากขึ้น  จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของการบำบัดด้วยการบูรณาผ่านเสียง ช่วยพัฒนาจิตใจให้สงบและ สร้างสมาธิได้เป็นอย่างดี

• ขันคริสตัล (Crystal Bowl) แรงสั่นสะเทือนในโมเลกุลของคริสตัล สร้างความถี่ต่ำ 7.8 Hz

   ซึ่งเป็นภาวะสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่สมดุลต่อร่างกาย เพิ่มความสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ลดอาการอ่อนเพลีย อ่อนล้า

• ฆ้อง (Gong Bath) เสียงทุ้ม และมีความกึกก้อง ช่วยโฟกัสให้อยู่กับปัจจุบัน สงบสุขในจิตใจ

• ส้อมเสียง (Tuning Fork) อุปกรณ์ลักษณะมีด้ามจับสองขา ทำจากเหล็กหรืออะลูมิเนียม

   สามารถสร้างคลื่นเสียงที่ช่วยปรับสมดุลของระบบการไหลเวียนของเลือดได้

 

 

เรียบเรียงข้อมูลจาก
• Personalized Medicine เว็บไซต์คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
• พิกัด Sound Healing Studio น่าไปลอง เว็บไซต์ THE STANDARD
• Nutraceutical / โภชนเภสัช เว็บไซต์ศูนย์เครือข่ายข้อมูลอาหาร
• How to perform a lymphatic drainage massage by Medical News Today

Preparation: เพิ่มพลังแห่งความหวัง ด้วยพลังแห่งความสุข “โดปามีน”

 

การได้อยู่กับคนที่เรารักหรือได้ทำสิ่งที่ชอบ ก่อให้เกิดความสุขในใจ มีความพึงพอใจ รักใคร่ ยินดี

ส่งผลให้โดปามีนหลั่งออกมาในสมอง แต่ในบางครั้งเราอาจเจอสิ่งที่ไม่คาดคิด สิ่งไม่เป็นดังหวัง

หรือเจอความท้าทายอื่นๆ ในชีวิต ก็เกิดเป็นความเครียด วิตกกังวลได้เช่นกัน จนเรานำสภาวะอารมณ์นั้น

เป็นความรู้สึกพื้นฐานเรื่อยไป ผลกระทบเล็กๆ นี้ เมื่อสะสมนานวันเข้า

สุดท้ายกลายเป็นคนที่ไม่มีความสุขในชีวิต และอาจเป็นไปได้ว่ากำลังขาด “โดปามีน” อยู่ก็เป็นได้ 

 

    สารเคมีธรรมชาติในสมอง โดยมนุษย์สามารถสังเคราะห์ได้เอง เกิดจากกรดอะมิโนชนิด  Tyrosine และ Tyrosine hydroxylase  ที่ทำหน้าที่ควบคู่กัน “โดปามีน” เป็นทั้งฮอร์โมน และสารสื่อประสาทเกี่ยวเนื่องกับระบบประสาทสมอง การเคลื่อนไหว ความจำ และการเรียนรู้  มีผลต่ออารมณ์ ควบคุมสมองส่วนที่รับรู้ความรู้สึกพึงพอใจหรือมีความสุข การมีแรงจูงใจและการแสวงหาความต้องการ

โดปามีนเป็นสารที่หลั่งในสมองได้ตลอดชีวิต แต่ในช่วงวัยรุ่นและวัยทำงานพบในปริมาณมากที่สุด

ซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายไวต่อสิ่งกระตุ้นรอบตัว รวมไปถึงผลต่อการตกหลุมรัก

โดยระบบสมองที่เกี่ยวกับการให้รางวัลของสมอง (The Brain Reward System)

ได้รับการกระตุ้น ทำให้เกิดพฤติกรรมโหยหา การมองหาคู่รักหรือเพศตรงข้าม

 

เหน็ดเหนื่อยกับงานในแต่วัน เกิดเป็นความเครียด ไม่มีความสุขเอาเสียเลย

เมื่อมีเวลาว่างก็อยากผ่อนคลายด้วยกิจกรรมที่ชื่นชอบ บางคนเลือกที่จะท่องโลกโซเชียลมีเดีย

ซื้อของออนไลน์  เล่นเกมหรือออกไปท่องเที่ยว ความพึงพอใจที่เกิดขึ้นระหว่างนั้น

ส่งผลให้โดปามีนหลั่งออกมาอย่างเสียสมดุลที่ควรจะเป็นตามธรรมชาติ พอเลิกทำแล้วก็กลับไปเป็นคนเดิมที่ไม่มีความสุขอีก

 

สาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากการเสื่อมของเซลล์สมองบริเวณแกนสมอง ซึ่งเป็นส่วนที่สร้างโดปามีนที่ช่วยควบคุมการเคลื่อนไหว

นอกจากอาการสั่นที่มือและเท้า อาจมีอาการทางจิตประสาท เช่น ซึมเศร้า  วิตกกังวล โมโหร้าย รับกลิ่นไม่ได้ ท้องผูก

เวียนศีรษะ ง่วงนอนตอนกลางวัน นอนไม่หลับตอนกลางคืน

 

 

 

 

 

โดปามีนเป็นเพียงสารเคมีในร่างกายตามธรรมชาติที่ช่วยส่งเสริมให้เรามีอารมณ์แห่งความสุข การใช้ชีวิตในสังคมและการพบปะสิ่งต่าง ๆ

ในแต่ละวัน เราต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาวะอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ หากเราต้องการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขที่แท้จริง

แนวทางที่ง่ายที่สุด คือ เลือกทำสิ่งที่ชอบและสบายใจ แต่อย่าตามใจตัวเองจนมากเกินไป ลองสำรวจสภาวะอารมณ์ตนเองบ่อย ๆ

รู้จักปล่อยวาง คิดบวก เพื่อสร้างสมดุลความสุขให้กับตนเองได้อย่างยั่งยืน

 

ตื่นนอนต้อนรับวันใหม่ สดใสได้ทุกวัน แนะสิ่งที่ควรทำเมื่อลุกจากเตียง

ตื่นนอนเช้ามายังไม่อยากลุกจากที่นอนไปทำงาน เชื่อว่าทุกคนน่าจะเคย อยู่ในความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน

อาการเหล่านี้อาจเป็นสิ่งที่บ่งบอกให้เราหันกลับมาดูแลตัวเอง หากปล่อยให้งัวเงีย ไม่สดชื่น

นาฬิกาปลุกแล้วก็ยังไม่อยากลุกจากเตียง แบบนี้คงไม่ดีแน่

The Selection ขอแนะนำวิธีเพิ่มความสดชื่นหลังตื่นยามเช้า

เตรียมพร้อมรับวันใหม่ ไม่ว่างานจะหนักแค่ไหนก็รับมือได้สบายแน่นอน 

การตื่นนอนตอนเช้าอาจเป็นเรื่องยากสำหรับหลายคน ลองใช้เทคนิคปรับเวลาเข้านอนให้ไวขึ้นและตื่นให้เช้าขึ้นสัก 10 – 15 นาที ประมาณ 1 เดือน ร่างกายจะเริ่มรู้สึกเคยชิน และตื่นเช้าได้เอง ในช่วงวันหยุดอาจปรับเวลาให้ตื่นสายเล็กน้อยก็ได้ เพื่อไม่ให้ระบบการทำงานของร่างกายสับสน

สมองของมนุษย์มีความอ่อนไหวต่อการรับแสงในช่วงเช้า หากตื่นแล้ว เปิดหน้าต่าง แง้มให้แสงแดดเข้ามาสักหน่อย การนอนหลับต่อจะเป็นไปได้ยากขึ้น หากทำเช่นนี้บ่อยๆ ร่างกายจะตื่นตัวได้เร็วเพราะดวงตาเราจะเริ่มปรับให้คุ้นชินกับระดับแสงสว่างที่ได้รับครั้งแรกเมื่อลืมตา ส่งผลให้ร่างกายรับรู้ว่า ตื่นได้แล้ว และระบบอวัยวะในร่างกายจะเริ่มทำงานตามหน้าที่ต่างๆ ดื่มน้ำ ช่วยสมองปลอดโปร่ง สดชื่น

ระหว่างการนอนหลับ ร่างกายก็สูญเสียน้ำเช่นเดียวกับตอนตื่นซึ่งจะถูกขับออกมาทางผิวหนัง มีทั้งในรูปของเหงื่อ และการหายใจซึ่งเป็นน้ำที่ระเหยแล้วเรามองไม่เห็น ดังนั้นการนอนหลับติดต่อกันนาน 7 – 8 ชั่วโมง แนะนำว่าเมื่อตื่นนอนแล้ว ควรดื่มน้ำ 1 แก้ว จะช่วยให้สมองปลอดโปร่ง          และรู้สึกสดชื่นขึ้น

ลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ยังคงทำหน้าที่ในการย่อยอาหาร และดูดซึมสารอาหารอยู่ในระหว่าง ที่เราหลับ ช่วงเช้ามืด เวลา 05.00 น. – 07.00 น. ลำไส้ใหญ่จะขับกากอาหารออกจากร่างกาย แนะนำว่าควรขับถ่ายช่วงเช้าทุกวัน เพื่อเอาของเสียอออกจากร่างกาย หากคนไหนไม่ถ่าย                  แถมไม่กินข้าวเช้าด้วย อุจจาระในลำไส้ใหญ่จะถูกบีบตัวกลับมาอยู่ที่กระเพาะอาหารและถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือด ทำให้เลือดที่ไหลเวียนในร่างกาย  และสมองก็ไม่สะอาด หากปล่อยไว้หลายๆ ปี มีความเสี่ยงสมองเสื่อมเร็ว

รู้สึกอารมณ์ดียามเช้าได้ง่ายๆ ด้วยการเปิดเพลงสบายๆ หรือเพลงที่ชอบระหว่างการอาบน้ำหรือแต่งตัวไปทำงาน ความรู้สึกเพลินจากการฟังเพลงจะช่วงหลั่งสารแห่งความสุขที่ชื่อว่า สารโดปามีน (Dopamine) สารเคมีในสมองที่ช่วยให้รู้สึกดี กระตุ้นให้อยากออกไปทำสิ่งต่างๆ มีพลังบวกและช่วยให้สมองผ่อนคลายได้อีกด้วย

The Selection คัดสรรสินค้าสุขภาพ

ช่วยปรับสมดุลชีวิตให้สุขภาพดี ตั้งแต่ตื่นเช้า

พร้อมส่วนลดพิเศษสำหรับคุณ

คลิกเลย https://bit.ly/TheSelectionTHCleaner

Preparation: แดดจ้า ต้องจัดเลย! แชร์วิธีเลือกครีมกันแดดให้สวยปัง หน้าไม่พังรับซัมเมอร์

 

 

 

 

ไอเท็มสำคัญที่จะช่วยปกป้องผิวเราจากแสงแดด ไม่ให้ถูกทำร้ายให้หมองคล้ำไปกว่าเดิม

นั่นคือ ครีมกันแดด หากไม่ทาอาจจะเจอปัญหาผิวที่สะสมไปเรื่อยๆ

จนกลายเป็นฝ้า กระ จุดด่างดำ ใบหน้า หมองคล้ำหรือแม้แต่ผิวไหม้ได้เช่นกัน

 

 

 

 

กันแดด = กันแก่ ครีมกันแดดต้องทาทุกวัน              

แนะนำให้ทาครีมกันแดดทุกวัน โดยเฉพาะผิวหน้าแม้จะอยู่ภายในอาคาร แต่รังสี UVA สามารถทะลุได้ในที่ร่มและกระทบไปในชั้นหนังแท้ซึ่งเป็น แหล่งสะสมของคอลลาเจน          ใครไม่ทาเป็นประจำระวังผิวเหี่ยวย่น ส่งผลให้แก่ก่อนวัยได้นะ

 

 

 

 

 

ยืนรับแสงแดดอ่อนๆ ตอนเช้าแบบยังไม่ทาครีมกันแดด ประมาณสัก 10-15 นาที ผิวหนังจะสังเคราะห์วิตามินดี

ไม่เพียงทำให้แคลเซียมเข้ากระดูก และทำให้กระดูกแข็งแรงเท่านั้น แต่ระดับวิตามินดียังเสริมคุณภาพการนอนหลับให้ดีขึ้น

ภูมิคุ้มกันแข็งแรง แต่ช่วง 11.00 – 15.00 น. เป็นช่วงเวลาแดดจัด อาจเสี่ยงหากกลัวฝ้า กระ จุดด่างดำ ถามหา 

 

ครีมกันแดดที่ดีไม่มีอยู่จริง ถ้าทาไม่ถูกวิธี              

หลายคนบอกว่า ทาครีมกันแดดแล้วแต่ยังดูหมองคล้ำอยู่ อาจเพราะทาไม่ถูกต้องหรือไม่เพียงพอ และนี่คือข้อแนะนำในการทาครีมกันแดด            ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โน้ตไว้เลย!

 

 

ทากันแดดให้ได้ผลที่ดีสุด              

หากจะป้องกันแสงแดดตาม SPF ที่ทำได้จริง ปริมาณกันแดดที่ใบหน้าและลำคอ ต้อง 2 กรัมต่อตารางเซนติเมตร คือ 1 ช้อนชา หรือ 2 ข้อนิ้วมือ โดยทาก่อนออกแดด 30 – 60 นาที สำหรับ Chemical Sunscreen และครีมกันแดดแบบ Chemical ต้องทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมง สามารถทำตาม      ข้อแนะนำตามภาพทั้ง 7 จุด จุดละ 1 ช้อนชา ดังนี้

1. ใบหน้า

2. แขนด้านขวา 

3. ลำตัวด้านหลัง 

4. ลำตัวด้านหน้า 

5. แขนข้างซ้าย 

6. ขาด้านซ้าย 

7. ขาด้านขวา

 

Preparation : เปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ที่แข็งแรง ทั้งกาย-ใจ

ผ่านไปแล้วอีกหนึ่งปี ร่างกายเริ่มเสื่อมสภาพลงไปตามกาลเวลา ระบบการเผาผลาญภายในร่างกายทำงานได้ไม่ดีเหมือนก่อน

ปีใหม่นี้ คุณอาจจะตั้งปณิธานกับตัวเองว่าฉันจะต้องมีสุขภาพแข็งแรงขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะกับวัยทำงาน ที่โฟกัสกับการทำงานจนไม่มีเวลา

ทำอย่างอื่น ชีวิตต้องติดสปีดตัวเองเพื่อจัดการหลายสิ่งให้ทัน ทั้งตอบอีเมลลูกค้า ประชุมงาน ตามโซเชียล

คิดสร้างสรรค์และแก้งานในเวลาเดียวกัน บวกกับยังต้องสะสางปัญหาต่าง ๆ ในชีวิต

เจอแบบนี้หลายคนคงรู้สึกกดดัน เหนื่อยล้าและบั่นทอนใจ ซึ่งอาจจะส่งผลต่อสุขภาพไม่น้อยเลย

     

The Selection ชวนคุณมาสำรวจร่างกายในเบื้องต้น

เพื่อให้คุณเป็นคนใหม่ที่ดีกว่าเดิม มาลองสังเกตว่า กายและใจของเรายังแข็งแรงดีอยู่หรือไม่

เพราะการรู้จักร่างกายของตัวเอง เปรียบเสมือนการมีเข็มทิศที่จะช่วยให้เรารู้ถึงแนวทาง การดูแลสุขภาพที่ถูกต้องได้ดีที่สุด

 

 

สำรวจร่างกายทั้งกาย-ใจของตัวเองแล้ว อย่าลืมแบ่งปันข้อมูลให้กับคนที่เราห่วงใยกันด้วยนะ

แม้ว่าตามธรรมชาติแล้ว ร่างกายของเราจะมีกลไกในการปกป้องและรักษาตนเองจากการเจ็บป่วยได้ในเบื้องต้น

หากเครียดมากๆ หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ นานวันเข้าก็จะเกิดความเจ็บป่วยตามมาได้

ดังนั้น การรักษาสมดุลของทั้งร่างกายและจิตใจให้ดี ด้วยการสังเกตสัญญาณสุขภาพของตัวเองในเบื้องต้น

น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ช่วยป้องกันการเจ็บป่วย ลดอัตราความเสี่ยงที่อาจเกิดโรคต่างๆ ทั้งช่วยเสริมสร้างศักยภาพให้เซลล์

และอวัยวะภายในร่างกายมีความสมบูรณ์ แข็งแรง และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดอีกด้วย

 

*กำหนดโดย The National Heart, Lung and Blood Institute

**แบบทดสอบภาวะซึมเศร้า PHQ-9 โดย คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี ม.มหิดล

 เรียบเรียงข้อมูลจาก

  • บทความเรื่อง “อยาก(เริ่มต้น)ดูแลสุขภาพแล้วเห็นผล ต้องรู้จักร่างกายตัวเองก่อน” เว็บไซต์ รพ.พญาไท
  • บทความเรื่อง “ดื่มน้ำอย่างไรให้ถูกวิธี” เว็บไซต์สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข

 

 

Preparation : รู้-รับ-ปรับตัว สู้ภัยฝุ่น PM 2.5

Preparation  รู้-รับ-ปรับตัว สู้ภัยฝุ่น PM 2.5

 

                                                

ภาพจำลอง สภาวะอากาศปกติ (ซ้าย)  และสภาวะอากาศที่มีฝุ่น PM 2.5 (ขวา)

           ไม่น่าเชื่อว่า ในปีนี้ประเทศไทยจะมีคุณภาพอากาศแย่สูงที่สุดแตะอันดับที่ 6 ของโลก*  สาเหตุส่วนหนึ่งคือฝุ่น PM 2.5 และเป็นเวลากว่า 3 ปีแล้วที่ฝุ่นจิ๋วละอองสีเทาชนิดนี้ที่มาเยือนประเทศไทยทุกปี ครอบคลุมท้องฟ้ารอบๆ เขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล นี่คงเป็นสัญญาณเตือนว่า เร็วๆ นี้ คงจะต้อง  เตรียมรับมือกับปัญหาฝุ่น PM 2.5 กันอีกครั้ง

PM 2.5 กลับมาเยือน ทุกฤดูหนาว

เมื่อกรกฎาคม 2565 ที่ผ่านมา ประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติได้กำหนดมาตรฐานฝุ่น 2.5 ในเวลา 24 ชั่วโมง จะต้องไม่เกิน 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร โดยให้มีผลจนถึงพฤษภาคม 2566  หากเกินจากนี้ถือว่าเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ และนี่คือวิกฤตการณ์มลพิษทางอากาศที่เราควรเฝ้าระวัง จริงๆ แล้ว ฝุ่น PM 2.5 พบได้ทั่วไปในอากาศ จะสังเกตได้ว่า ก่อนเข้าช่วงฤดูหนาวจะมีฝุ่น PM 2.5 ในปริมาณที่พุ่งสูง นั่นเพราะเกิดการเผาไหม้ทั้งจากยานพาหนะ การเผาวัสดุการเกษตร ไฟป่า กระบวนการอุตสาหกรรม การก่อสร้างอาคารและการพัฒนาเส้นทางคมนาคมที่เพิ่มมากขึ้น จึงทำให้อุณหภูมิที่พื้นดินจะเย็นกว่าชั้นบรรยากาศด้านบน และชั้นบรรยากาศมีลักษณะเป็นแนวผกผัน (Inversion Layer)  เสมือนเป็นโดมครอบพื้นที่ไว้ ทำให้ฝุ่นละอองไม่สามารถลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศด้านบนได้ จึงสะสมจนกลายเป็นฝุ่นควันฟุ้งกระจายทั่วเมืองในที่สุดนั่นเอง      

    

 

PM 2.5 ฝุ่นเล็กจิ๋ว แต่ส่งผลต่อสุขภาพมหาศาล

ด้วยลักษณะของฝุ่น PM2.5 ที่มีขนาดเล็กจิ๋ว แต่ผลกระทบไม่จิ๋วตามขนาดตัว เทียบได้กับ 1 ใน 25 ส่วนของ เส้นผ่านศูนย์กลางของเส้นผมมนุษย์ มีอณูเล็กถึงขนาดที่ว่าหากสูดหายใจเข้าไป ฝุ่นจิ๋วนี้สามารถทะลุเข้าไปได้ถึงชั้นปอด และแพร่กระจายเข้าสู่อวัยวะต่างๆ ในระบบทางเดินหายใจ ถุงลมในปอด โรคปอดอักเสบ โรคภูมิแพ้ และกระแสเลือดได้โดยตรง ส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวและมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเรื้อรังได้ เพราะหากสัมผัส สูดหายใจเอาฝุ่น PM 2.5 เป็นประจำ ก็จะยิ่งมีความเสี่ยงมากขึ้น หากมีอาการจาม น้ำมูกใส ไอ หายใจไม่สะดวก ตาแดง น้ำตาไหล มีผื่นคันตามร่างกาย ให้สังเกตตัวเองไว้ก่อนเลยว่าอาจได้รับผลกระทบจากฝุ่น PM 2.5 ก็เป็นได้

 

ใครได้รับผลระทบจาก PM 2.5 เป็นอันดับแรก?

 

วัยเด็ก ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด เด็กเล็กปอดกำลังขยายและระบบการหายใจและภูมิคุ้มกันยังเติบโตไม่เต็มที่

 

 

 

ผู้สูงอายุ ภูมิคุ้มกันลดน้อยลงไปตามวัย รวมถึงผู้ป่วยทางเดินหายใจ โรคหัวใจ และระบบสมอง

 

 

 

ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ หากมีอาการกำเริบหรือรุนแรงขึ้น ควรรีบพบแพทย์

 

 

 

 

คุณแม่ตั้งครรภ์ มีภาวะเหนื่อยง่าย เป็นภูมิแพ้หรือโรคปอด

 

 

เตรียมรับมือวิกฤตฝุ่น PM 2.5 ระลอกใหม่

ฝุ่น PM 2.5 เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก เพราะอยู่ในอากาศที่เราหายใจในชีวิตประจำวัน และมีความเป็นไปได้ที่จะอยู่ร่วมกับเราไปอีกระยะหนึ่ง หลายๆ คนคงมีประสบการณ์การป้องกันตนเองจากฝุ่น PM 2.5 คล้ายคลึงกัน ตั้งแต่ก้าวออกจากบ้าน ก็ต้องสวมหน้ากากอนามัยที่สามารถกรองฝุ่น PM 2.5 ได้ หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมหรือออกกำลังกายกลางแจ้ง ทำความสะอาดสิ่งของเครื่องใช้และเลี่ยงการเปิดประตูหน้าต่างบ่อยครั้ง เพื่อลดปริมาณฝุ่นภายในบ้าน หันมาปลูกต้นไม้และใช้เครื่องฟอกอากาศเพิ่มอากาศบริสุทธิ์ ทั้งหมดนี้ ก็เพื่อสร้างเกราะป้องกันสุขภาพและลดความเสี่ยงจากฝุ่น PM 2.5 หากเรายังต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางมลพิษทางอากาศแบบนี้ต่อไป คงต้องหาวิธีปรับตัวให้อยู่กับฝุ่น PM 2.5 ให้ได้ เพราะการมีสุขภาพที่แข็งแรง เป็นหนทางเดียวที่จะช่วยป้องกันความเจ็บป่วยที่จะเกิดขึ้นได้อย่างดีที่สุด

*อ้างอิงจาก AirVisual Application สำรวจคุณภาพอากาศทั่วโลก

Preparation : COVID-19 ปรับเปลี่ยนความคิดเพื่อชีวิตใหม่ ให้พร้อมรับมือกับชีวิตที่ไม่มีวันเหมือนเดิมไปตลอดกาล

   ปรับชีวิตวิถีใหม่เพื่ออยู่ร่วมกับโรคระบาด อาจจะเป็นสิ่งที่ หลายคนต่างก็คาดการณ์กันไว้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของรูปแบบการใช้ชีวิตประจำวัน การใช้ชีวิต ในที่ทำงาน ณ ปัจจุบัน ได้มีการยกเลิกมาตรการล็อคดาวน์ และเปิดพรมแดนให้ทุกคนสามารถเดินทางไปในพื้นที่ต่างๆ ได้มากขึ้น ทำให้หลายคนเริ่มที่จะปรับตัว และใช้ชีวิตกันอย่างปกติ ถือว่า เป็นอีกหนึ่งก้าวที่สำคัญต่อการปรับเปลี่ยนชีวิตวิถีใหม่ของพวกเราทุกคน แต่ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม เพราะการออกไปใช้ชีวิตนอกบ้านเราทุกคนต่างก็ต้องเผชิญกับความเสี่ยงอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นเราจึงต้องเรียนรู้ที่จะปรับชีวิตวิถีใหม่ และแนวทางต่างๆ เพื่ออยู่ร่วมกับโควิดต่อไป

 

          หลังจากที่ทุกอย่างเริ่มกลับมาเป็นปกติ เราสามารถออกไปใช้ชีวิตนอกบ้านได้มากขึ้น และแน่นอนว่า เราไม่สามารถเลี่ยงการพบปะผู้คนได้  อาจนำมาซึ่งความวิตกกังวลคิดมาก เสี่ยงก่อให้เกิดปัญหาทางด้านสุขภาพจิตตามมา แต่ความวิตกกังวลนั้นเองก็ยังมีข้อดีที่จะช่วยเปลี่ยนความคิดที่ว่า “เปลี่ยนความวิตกกังวล ให้เป็นเกราะป้องกัน” เช่น เมื่อเราไปยังสถานที่สุ่มเสี่ยง เราจะเกิดความวิตกกังวลขึ้นมาว่า เราจะได้รับเชื้อหรือไม่ ทำให้เราคิดถึงการระวังป้องกันตัวจาก  โควิด เพียงเท่านี้คุณสามารถลดความวิตกกังวลได้ เพราะหากคุณสามารถจัดการกับความกังวลเหล่านี้ได้ จะไม่เพียงช่วยให้ตัวคุณเองปลอดภัย แต่ยังช่วยให้    คนรอบตัวปลอดภัยอีกด้วย

           เพราะวันเวลาไม่เคยหยุดรอใคร… โรคระบาดพรากเวลาของเราไปเกือบ 3 ปี ถึงเวลาแล้วที่เราต่างก็ต้องกลับไปใช้ชีวิต เอาเวลาที่เสียไปคืนมา สิ่งที่เกิดขึ้น อาจทำให้เรานั้นหมดไฟในการดำเนินชีวิต ในการทำงาน รวมถึงเป้าหมายในอนาคต โดยเราขอเสนอ การจัดตารางเวลา 8 : 8 : 8 เพื่อสร้างสมดุลให้กับชีวิตและการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพโดยมีหลักการแบ่งเวลา ดังนี้

8 ชั่วโมง   สำหรับการทำงาน
8 ชั่วโมง   สำหรับการผ่อนคลายหรือนันทนาการ เช่น ทำงานอดิเรก ใช้เวลาอยู่กับคนที่คุณรัก
8 ชั่วโมง   สำหรับการนอนหลับพักผ่อน

             มนุษย์ทุกคนมีความเคยชินกับการอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม แต่เมื่อเกิดสถานการณ์โควิด ทำให้รูปแบบการใช้ชีวิตของพวกเราเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เราต้องเว้นระยะห่างเพื่อควบคุมโรค และสิ่งที่ทดแทนความเหงาของเราในสถานการณ์เช่นนี้คือ สื่อโซเชียลออนไลน์ต่างๆ ที่สามารถสร้างความบันเทิงใจให้คลายเหงาได้ แต่อย่างไรก็ตาม การใช้สื่อออนไลน์มีทั้งด้านที่ดีและไม่ดี หากเราใช้งานมากเกินไปหรือใช้ผิดวิธี อาจจะก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา เพราะฉะนั้นอย่าลืมปรับความสมดุลในชีวิต แบ่งเวลาใช้ชีวิตแบบออนไลน์ ออฟไลน์ กับเพื่อนฝูงและคนที่คุณรักกันอย่างเหมาะสม

              โรคระบาดที่เกิดขึ้นกระทบกับการใช้ชีวิต และสร้างปัญหาตามมาอย่างมากมาย เช่น เศรษฐกิจ รายได้ การทำงานและการใช้ชีวิต ทำให้กระทบต่อความรู้สึก ความเครียด และสภาพจิตใจ อาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าในอนาคตได้ วิธีที่ดีที่สุดในการรับมือกับความรู้สึกเหล่านี้คือการรับรู้ตัวเองว่ารู้สึกเช่นไร เพื่อเรียนรู้และทำความเข้าใจที่มาของความรู้สึกเหล่านั้น ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะสาเหตุใด เมื่อคุณปล่อยให้ตัวเองเข้าใจความรู้สึกทั้งหมดที่เกิดขึ้น คุณก็จะยอมรับ และก้าวผ่านความรู้สึกนี้ไปได้อย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นอย่าลืมสังเกตความรู้สึกและจัดการความรู้สึกของตัวเองอยู่เสมอๆ

                สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่เราไม่เคยคาดคิดมาก่อน การยอมรับได้เร็วก็จะสามารถปรับตัวได้เร็ว ทำให้มองเห็นโอกาสหรือแนวทางการแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที ดังนั้นการหาความรู้เพิ่มเติม การพัฒนาทักษะใหม่ๆ นับเป็นเรื่องที่ดีต่อตนเอง อีกทั้งยังสามารถส่งต่อเป็นความรู้ให้กับผู้อื่นได้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์อีกด้วย แม้แต่ละคนจะแตกต่างกันแต่ก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้ในพื้นที่แห่งความเข้าใจ ฉะนั้นอย่าลืมสร้างสมดุลทางความคิด ใช้ชีวิตอยู่บน    ความปลอดภัย และเข้าใจซึ่งกันและกันท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้

Preparation : จัดตารางชีวิตดี สุขภาพดีต้อนรับปี 2022 อย่าง Productive

               

“ถ้าพร้อมแล้วมาเริ่มกันเลย กับ 5 พฤติกรรมที่ควรปรับ ควรเปลี่ยน

เพื่อไปสู่ชีวิตดีๆ สุขภาพดีๆ และยังมีความ Productive ในทุกๆ วัน ตลอดปี!”

     

 

เปลี่ยนชีวิตให้ไหลลื่นด้วยการดื่มน้ำให้บ่อยขึ้นจนเป็นนิสัยโดยอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพราะน้ำช่วยในเรื่องของระบบการขับถ่าย  พร้อมทั้ง                                  รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด หล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สดชื่น สดใส ตลอดทั้งวัน    

  

กินดีมีชัยไปกว่าครึ่ง เพราะแต่ละอย่างที่เรารับประทานเข้าไปนั้นล้วนสำคัญต่อร่างกายเป็นอย่างมาก การทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ทุกมื้อนั้น

                                 เป็นเรื่องที่ดีและควรทำเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งสามารถทำได้ง่ายๆ ในทุกวัน โดยเริ่มจาก

                                 • ปรับลดสัดส่วนในการรับประทานอาหารในแต่ละมื้อ โดยพยายามทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ 

                                 • เลือกรับประทานโดยเน้นประเภทผัก และผลไม้ต่างๆ ให้ครบ 5 สี เพิ่มวิตามินและแร่ธาตุอย่างครบถ้วน เพราะบางครั้งอาหารที่ปรุงสำเร็จ                                        ในปัจจุบันนั้นมีปริมาณผักค่อนข้างน้อย

                                 • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง และอาหารรสจัด

 

 

เปลี่ยนข้ออ้างเรื่องไม่มีเวลาต่างๆ เป็นการขยับนิด ออกแรงหน่อย อย่างน้อยวันละ 30 นาที เพราะการออกกำลังกายนั้นจะช่วยในเรื่องของการควบคุมน้ำหนักและน้ำตาลในเลือด ทำให้นอนหลับได้ดีขึ้น ลดความเครียดสะสมและทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง เพราะเราต้องใช้ร่ายกายของเราทุกวัน ดังนั้นอย่าลืมดูแลร่างกายของเราให้แข็งแรงและ Productive อยู่เสมอ

 

งานดีแค่ไหน อย่าลืมให้ความสำคัญกับสุขภาพด้วย ปรับการใช้ชีวิตประจำวันควบคู่ไปกับความคิดของเรา หา “Work Life Balance” ที่ดีเพื่อการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ โดยเริ่มต้นจาก

• หาจุดพอดีให้ได้ ปรับสมดุลการทำงาน โดย 60% แบ่งให้กับการทำงาน อีก 40% แบ่งเวลาไว้พักผ่อน

                                          • ดูแลสุขภาพกายและใจให้แข็งแรง เพราะสองสิ่งนี้ควรปรับให้สมดุลควบคู่กันไป 

                                          • หากิจกรรมที่ทำให้ตัวเองมีความสุข เมื่อหมดเวลางานให้ปล่อยวางบ้าง แล้วออกไปใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการ เช่น                                                                 ไปพบปะเพื่อนฝูง เดินทางไปท่องเที่ยวต่างจังหวัด ทำกิจกรรมที่ตัวเองชอบ หรือหากิจกรรมใหม่ๆ ก็จะช่วยปรับสมดุลให้ชีวิต                                                       Happy ขึ้นได้ 

 

อย่าลืมให้เวลากับการนอนหลับอย่างเพียงพอ เพราะมนุษย์เราไม่ใช่เครื่องจักร ควรจะมีเวลาให้ร่างกายและจิตใจได้หยุดพักผ่อน การนอนให้ได้ประสิทธิภาพนั้นควรนอนให้ได้ 8-10 ชั่วโมง การเข้านอนแต่หัวค่ำสามารถทำให้เราพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ แต่อาจจะไม่ใช่ทุกคนที่สามารถทำได้ ดังนั้นเรามีวิธีปรับการนอนง่ายๆ เพื่อช่วยให้เรามีเวลาพักผ่อนได้มากขึ้น

                                               • ออกกำลังกายช่วงเย็นอย่างน้อย 30 นาที

                                               • อาบน้ำอุ่น เดินเบาๆ ไปมา หรือนั่งทำสมาธิก่อนเข้านอน ไม่ควรทำกิจกรรมที่กระตุ้นร่างกายและสมองไปจนถึงเวลาเข้านอน

                                                • หลีกเลี่ยงอาหารมื้อหนัก ก่อนเข้านอน 4 ชั่วโมง

                                                • รู้สึกง่วงเมื่อไร ให้เตรียมตัวนอนเมื่อนั้น อย่าพยายามฝืนไม่เข้านอน

                                                • จัดระเบียบห้องนอน และกำจัดสิ่งรบกวน ปิดไฟและอุปกรณ์ต่างๆ เช่น โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ รวมถึงอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ 

 

Preparation : เตรียมตัวให้พร้อมก่อนเป็นคุณแม่

Preparetion เตรียมตัวให้พร้อมก่อนเป็นคุณแม่

การเป็น “คุณแม่
นับว่าเป็นก้าวสำคัญและประสบการณ์ใหม่จึงเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย หากเหล่าคุณแม่จะได้เตรียมตัวให้พร้อม เพื่อก้าวเข้าสู่บทบาทคุณแม่มือใหม่ได้อย่างมั่นใจ

วันนี้เรารวบรวมประเด็นสำคัญที่จะช่วยให้คุณแม่เข้าใจลูกน้อย และตัวเองได้มากยิ่งขึ้น ในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ สิ่งสำคัญคือการพูดคุยกับคุณหมอ เพื่อปรึกษา และขอคำแนะนำต่างๆ ในแต่ละช่วงของการตั้งครรภ์ โดยเราสามารถแบ่งช่วงการตั้งครรภ์ออกได้เป็น 3 ช่วงดังนี้

ช่วงอายุครรภ์ไตรมาสที่ 1
น้ำหนักของคุณแม่อาจยังไม่เพิ่มขึ้นมากนัก แต่หลายคนอาจจะมี อาเจียน หรือวิงเวียนศีรษะ เพราะฮอร์โมน ที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งอาการในแต่ละคนก็จะแตกต่างกันออกไป ปกติแล้วอาการแพ้ท้องจะอยู่ที่ประมาณ 4-15 สัปดาห์

ในช่วงนี้ จะเป็นช่วงการปรับตัวเข้าสู่การเป็นคุณแม่ คุณแม่ควรทำใจให้สบาย  พักผ่อนให้เพียงพอ และทานอาหารตามความเหมาะสม แต่หากรู้สึกว่าอาการของตัวเองเริ่มผิดปกติ หรือรุนแรงเกินไปก็สามารถปรึกษาคุณหมอได้ทันที

ช่วงอายุครรภ์ไตรมาสที่ 2
คุณแม่จะรู้สึกอยากอาหารมากขึ้นหลังจากช่วงแพ้ท้องผ่านพ้นไป ซึ่งช่วงนี้อาจทำให้มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นถึง 1-1.5 กิโลกรัมต่อเดือน คุณแม่บางท่านจะเริ่มมองหาชุดคลุมท้องมาใส่ เพราะร่างกายเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง

ช่วงอายุครรภ์ไตรมาสที่ 3
ช่วงนี้รูปร่างของคุณจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด น้ำหนักจะเพิ่มขึ้นสัปดาห์ละครึ่งกิโลกรัม หรือเดือนละราวๆ 2-2.5 กิโลกรัม เป็นช่วงที่คุณแม่จะเจริญอาหารมากที่สุด อยากกินสิ่งนั้นสิ่งนี้ไปเสียหมด ซึ่งก็ไม่ต้อง แปลกใจไป นั่นเป็นเพราะลูกในท้องกำลังเติบโต ทั้งทางสมองและร่างกาย

“รูปแบบการคลอดแต่ละวิธีมีข้อดี-ข้อเสีย
แตกต่างกันออกไป ซึ่งข้อมูลพื้นฐานเหล่านี้
จะช่วยให้เข้าใจธรรมชาติ และตัดสินใจ
เลือกวิธีคลอดที่เหมาะสมกับคุณแม่ได้ง่ายขึ้น”

คลอดแบบธรรมชาติ
เป็นวิธีการคลอดพื้นฐานที่พวกเรารู้จักกันดี ข้อดีก็คือมีขนาดแผลที่เล็กกว่า คุณแม่ฟื้นตัวได้เร็ว และทารกก็จะแข็งแรงด้วยภูมิคุ้มกันทางธรรมชาติ แต่ทั้งนี้   อาจจะมีความเจ็บปวดในตอนคลอดมากกว่าการผ่าคลอด และไม่สามารถกำหนดช่วงเวลาคลอดได้

การผ่าคลอด
ในปัจจุบัน การ ‘ผ่าคลอด’ เป็นหนึ่งในวิธีที่ปลอดภัยและได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะสามารถกำหนดวันเวลา และฤกษ์ในการคลอดได้เอง ปกติคุณแม่          ที่ผ่าคลอดจะฟื้นตัวภายใน 24 ชั่วโมง ส่วนเรื่องแผลเป็นที่หลายคนกังวลอาจจะใช้เวลาประมาณ 6 สัปดาห์ เพื่อให้แผลหายสนิท และเรื่องความเสี่ยงที่สามารถ  เกิดจากการผ่าคลอดได้ เช่น คุณแม่อาจเสี่ยงต่อการแพ้ยา และเสียเลือด แต่เทคโนโลยีในปัจจุบันบวกกับความชำนาญของแพทย์ทำให้การผ่าคลอดของคุณแม่และลูกน้อยเป็นไปได้อย่างปลอดภัย และราบรื่น

ช้อปสินค้าเพิ่มน้ำนมและบำรุงร่างกายอื่นๆ ที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ

ดูทั้งหมด